วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผิดนี้เพื่อ 'ขอพระราชทานอภัยโทษ'

โดย




ก็ต้องขอแสดงความซาบซึ้งต่อน้ำพระทัยเมตตาของ "สมเด็จนโรดม สีหมุนี" ที่พระราชทานอภัยโทษให้ "นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์" และจะปล่อยตัวในวันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวา ผมก็คิดว่าเมื่อทุกอย่างจบลงไปอย่างที่ต้องการ ฉะนั้น ในภาคการเมือง อะไรๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็น่าจะให้จบลงไปด้วย เพราะบางเรื่อง-บางราวนั้น การ "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" หามีประโยชน์ไม่ ฟื้นไปก็มีแต่ตัวไร-ตัวเรือด

จะปล่อยจริง-ไม่จริง ก็ต้องรอดู "ของจริง" ในวันจันทร์อีกที นี่ผมก็พูดไปตามรายงานข่าวจากต่างประเทศ และคิดว่าพวกโฆษกประชาธิปัตย์ช่างพูด ก็ไม่ควรเอาบทละครเรื่องนี้เที่ยวไปบลัฟ-ไปเบิ้ลพรรคเพื่อไทย หรือใครต่อใครเขาเป็นการ "ต่อความยาว-สาวความยืด" ออกไปอีก

ชาวบ้านน่ะ โดยเฉพาะคอหนัง-คอละคร (น้ำเน่า) เขาคิดเป็น-ดูเป็นหรอก ดูแค่หัวม้วนแป๊บเดียว เขาก็เดา "ตอนจบ" ได้เองอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ต้องแส่นำมากนัก!

ส่วน "เพื่อไทย" เขาจะอาศัยการที่นายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาไปแบบไหน อย่างไร นั่น..ก็เห็นใจเขาเถอะ เพราะเขาทุ่มทุนสร้างออกหน้า-ออกตาซะขนาดนั้น ก็ต้องให้เขาหาทางถอนทุน-ถอนกำไรจากคอหนัง-คอละครประเภท จุกบี้-ต้ำไบ่ บ้างเป็นธรรมดา

แต่มีอยู่เรื่องที่คนพรรคเพื่อไทยทำลงไปวานนี้ (๑๑ ธ.ค.) เห็นแล้วสมเพช-เวทนาคนทำ และน่าจะเป็นการทำที่สร้างความตกต่ำให้พรรคเพื่อไทยหนักขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น ก็อยากนำมาเตือนสติกันไว้ เผื่อจะช่วยกระตุ้นเตือน "จิตสำนึก" ซึ่งกันและกันได้บ้าง

คือตอนเช้าวานนี้ เข้าใจว่ายังไม่รู้เหนือ-รู้ใต้อะไร ท่านพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า "เด็จพี่" โฆษกพรรคเพื่อไทย ไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องในนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย อดีตเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา แสดงความรับผิดชอบกรณีศาลกัมพูชาจำคุกนายศิวรักษ์ ๗ ปี

โดยให้ "ลาออก" จากตำแหน่ง!

คือเหมือนอย่างที่ "นางสิมารักษ์" แม่ของนายศิวรักษ์โทรศัพท์ในทำนองให้สัมภาษณ์จากเขมรมาเข้าเครื่องโทรศัพท์ท่านพร้อมพงศ์ แล้วท่านพร้อมพงศ์ก็เปิดเสียงให้นักข่าวฟัง

เป้าที่นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์พุ่งไปที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" เพราะนางตั้งทิศทางให้คนฟังเข้าใจว่า "ถ้านายคำรบไม่โทรศัพท์ไปหาลูกชายเขา นายศิวรักษ์ก็ต้องไม่มีวันนี้...คือไม่ต้องติดคุกนั่นแหละ!

สรุปชัดๆ ก็คือ นางสิมารักษ์คล้ายต้องการประจานว่า "มีการโจรกรรมข้อมูลลับ" คือตารางการบินจริงตามที่กัมพูชาตั้งข้อหา และคนที่โจรกรรม ไม่ใช่ลูกชายเขา หากแต่ "ประเทศไทย" โดยนายคำรบจากสถานทูตไทยตะหากที่โจรกรรมด้วยการโทรศัพท์ไปให้ลูกชายเขาทำอย่างนั้น

ฉะนั้น นายคำรบก็ดี นายกษิตก็ดี ต้องรับผิดชอบ!?

จากคำพูดนางสิมารักษ์นั้น จะด้วยความเข้าใจจริงๆ อย่างนั้น หรือจะด้วยอะไรก็ช่างเถอะ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ฟังแล้วอาจเข้าใจว่า...อ้อ...เรื่องนี้ "ประเทศไทย" เบื้องหน้าผู้ดี-เบื้องหลังผู้ร้ายจริงที่กัมพูชากล่าวหานี่นา!!

นี่...ผมก็ปูพื้นเป็นลำดับเรื่องราวให้เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุ ที่ท่านพร้อมพงศ์ไปยื่นหนังสือให้นายกษิตและนายคำรบแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ก็เป็นฉากต่อเนื่องกันมา และตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าเป็นการทำที่เกินกรอบ-เกินเส้นในสามัญสำนึกของมนุษย์ที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่...แสนจะทุเรศ

ก่อนจะสรุปกันว่า "ควรต้องรับผิดชอบไหม?" ก็อยากจะให้ท่านพร้อมพงศ์และทุกท่านในเพื่อไทย ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมนักกฎหมายอยู่เยอะแยะ ลองตอบซิว่า

ตารางการบินพาณิชย์นั้น เป็นข้อมูลลับทางราชการหรือ?

มันก็ไม่ใช่...!

นอกจาก "ผิดใจ" แล้วมันผิดกฎหมายฉบับใดในโลก ที่นายคำรบจะโทรถามถึงตารางการบินกับนายศิวรักษ์ที่ทำงานอยู่ที่วิทยุการบิน?

ผมเชื่อว่าเรื่องนี้นายศิวรักษ์บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีแผน หรือร่วมรู้เห็นกับใคร "ทำเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย" ให้กลายเป็น "เรื่องผิดกฎหมาย" เพื่อใช้เป็นกลเกมเดินแต้มการเมืองระหว่างประเทศของใครบางคน

ก็เพราะมันไม่ผิดกฎหมายนั่นแหละ ที่จะแจ้งการขึ้น-ลงของเครื่องบินพาณิชย์ให้กับคนที่มาสอบถาม นายศิวรักษ์จึงทำไปตามปกติสากลโลก จะเรียกว่าทำไปตามหน้าที่ของพนักงานที่ดีก็ยังได้

แบบนี้ ทั้งพฤตินัย-นิตินัยนั้น มันผิดตรงไหน มันไม่แปลกเลยด้วยซ้ำที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" จะโทรสอบถามตารางการบินกับนายศิวรักษ์!

ในทางกลับกัน ในฐานะเป็นถึงเลขานุการทูตเอก มันอาจจะผิด และเป็นการบกพร่องต่อภาระหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชนไทยอยู่ในเขมรด้วยซ้ำ ที่ไม่เอาใจใส่สดับตรับฟังข่าวสาร-บ้านเมือง เพื่อรายงานเป็น "การข่าว" กลับมายังประเทศชาติบ้านเมืองตัวเองได้ทราบ

ถ้านายคำรบถือว่าธุระไม่ใช่ ทั้งที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานทั้งภาพ-ทั้งข่าวไปทั่วโลกโครมๆ อย่างนั้นว่า...ทักษิณบินเข้ากัมพูชาแล้ว...แต่นายคำรบเอาแต่นอนทอดหุ่ยอยู่ในสถานทูต ไม่ขวนขวายสนใจอะไรเลย ทางเมืองไทยสอบถามข้อมูลมาก็บอกว่า..ยัง..ยัง..ยังไม่รู้

อย่างนี้ตะหากล่ะที่ท่านพร้อมพงศ์ และทุกท่านในเพื่อไทย ควรทำหนังสือยื่นกระทรวงการต่างประเทศให้ "รีบไล่นายคำรบออกไปเลย"!

สรุปก็คือ นายคำรบปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ถูกต้องในความเป็นเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชาแล้ว การสนใจไต่ถามควานหาข้อมูลเพื่อรายงานให้ทางประเทศไทยได้ทราบนั้น เป็นผลงานที่ต้องยกย่อง ชมเชยในความเป็นแบบอย่างที่ดี

ไม่ใช่ทำหนังสือไปขับไล่ ยัดเยียดให้คนเข้าใจว่า "คนสถานทูตโจรกรรมข้อมูล" อย่างที่ท่านพร้อมพงศ์ทำไปหรอก ผมทุเรศท่านตรงนี้

และทนเห็นแสดงบทคนการเมืองไร้คุณภาพและจิตสำนึกเพื่อสังคมชาติบ้านเมืองไม่ไหว เกรงจะได้ใจเลยเถิด ในเมื่อเห็นสังคม "ไม่ให้ราคา" ก็เลยจะบ้าไปทุกเรื่อง

เล่นการเมืองก็เล่นไปเถอะ แต่อย่าให้ล้นกรอบ!

พวกคุณเป็นคนประเภทไหนกัน จิตสำนึกแยกแยะประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ประเทศชาติไม่มีบ้างเชียวหรือ เพียงเพื่อทักษิณ-ที่สูญเสียแล้วไปยืมมือฮุน เซน มาเล่นสงครามประเทศตัวเอง พวกคุณก็ยอมเป็น "ไส้ศึก" ให้คนขายชาติ และฮุน เซน คอยรับลูก-รับสัญญาณมาบ่อนทำลายประเทศชาติตัวเองให้ฉิบหายงั้นหรือ?

เป็นคน มันก็ต้องมีเส้นแบ่ง ถ้าไม่มี นั่น...มันก็ไม่ใช่คน ส่วนจะเป็นอะไรก็คิดเอา!

ผมก็ไม่อยากพูดอะไรถึงนางสิมารักษ์ เพราะเห็นแก่ลูกชาย เพราะผมเชื่อในความบริสุทธิ์-จริงใจต่อชาติบ้านเมืองของเขา และรู้ว่า "ไม่ผิด จึงทำ"

แต่ด้วยการปกครองระบอบ "ประชาธิปไตยฮุน เซน เบ็ดเสร็จ" ซึ่งสไตล์เดียวกับยุค "ประชาธิปไตยทักษิณเบ็ดเสร็จ" อะไรมันก็ผิดได้-ถูกได้ ตามอำนาจผู้นำ ฉะนั้น ในความไม่ได้ทำผิดของนายศิวรักษ์ แต่ด้วย "ความซวย" เลยถูกใช้เป็น "หมาก" ตัวหนึ่งในการเดินเกม...ก็เท่านั้น!

จะว่าไปแล้ว นางสิมารักษ์เธอก็มีความซื่อสัตย์ และความจริงใจ น่าชื่นชม แต่ถ้าความซื่อสัตย์ และความจริงใจนั้น เปลี่ยนจากทักษิณและจิ๋วมาเป็นประเทศไทย เธอก็จะได้ความรัก ความเห็นใจ จากประชาชนคนไทยมากกว่านี้

ลูกชายคุณไม่ได้ผิด แต่คุณไม่เคยแสดงความเชื่อมั่นในสิ่งถูกนั้น ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะพยายามพิสูจน์เลย กลับอ้างความรักของแม่ที่มีต่อลูกขึ้นเหนือความผิด-ถูก-ศักดิ์ศรีทั้งมวล ยอมทุกอย่าง อะไร-แบบไหนได้ทั้งนั้น เพียงขอให้ลูกพ้นคุกเป็นใช้ได้

เปลี่ยนทนายบ้าง จะประกันแล้วไม่ประกันบ้าง ปฏิเสธระบบทางกระทรวงการต่างประเทศบ้าง ระบบของกติกาสากลบ้าง แล้วมองข้ามช็อต...รู้ว่าลูกไม่ผิด ก็จะให้ยอมรับผิด...เพื่อไปถึงขั้นเตรียมการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยเชื่อและศรัทธาต่อทักษิณ-จิ๋ว-เพื่อไทย เหนือกว่าเชื่อและศรัทธาในความถูกต้อง

ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลยว่า "ผิดหรือถูก?"

ถ้ามีเวลาสังเกตสักนิด นางสิมารักษ์จะรู้สึกตัวว่า กำลังใจ และการเทใจช่วยจากคนไทยในวันแรกๆ ที่ทราบข่าวลูกของเธอถูกจับ กับวันหลังๆ ต่อมา ที่บทบาทแม่ของเธอชักจะชัดว่า "เดินตามบท" ของพรรคเพื่อไทย จะพบว่า กำลังใจให้คุณแม่ และการเชียร์ช่วยเหล่านั้น...เหือดหายไป

เพราะไม่มีใครอยากถูกหัวเราะลับหลังว่า...ไอ้พวกหน้าโง่!

เรื่องนี้ถึงจบตามความคาดหมายก็จริง แต่ดูจะลุกลี้-ลุกลน รวบรัดจบแบบ "มุบมิบจบ" กระนั้นก็ตาม ยังไงๆ ก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์กัมพูชา และขอบคุณในน้ำใจของนายกฯ ฮุน เซน ที่มีให้ต่อคนไทยคนหนึ่ง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือรีบจบเพราะ...มุกแป๊ก!

ไก่ทักษิณ ไก่เพื่อไทย ไก่จิ๋ว ถูกจับได้ยกเล้า ไม่มี "ไก่ฮีโร่" ดังนั้น ขืนลากยาวไปก็มีแต่ "หางโผล่" รีบจบน่ะดีแล้ว

ถ้าจะถามว่า "แบบนี้เป็นสัญญาณไทย-กัมพูชาใกล้จะสามัคคีกันใช่ไหม?" ผมบอกได้เลยว่า "คนละเรื่องกัน" ก็ในเมื่อฮุน เซน-ทักษิณ ใช้กรณีนายศิวรักษ์หวังกดดันให้คนไทยหันไปบดทำลายคนที่อยู่แล้วเขาไม่มีความสุข คือ "อภิสิทธิ์-กษิต" ไม่สำเร็จ เขาก็ต้องปล่อย และนั่น...เขาก็คงต้องไปคิดเกมกันใหม่ ซึ่งไม่ใช่เกม "ฮุน เซน จูบปากอภิสิทธิ์" แน่ๆ.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด

โดย attawut08

ด้วยความเคารพ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ในบรรดารัฐมนตรีของคุณอภิสิทธิ์ทั้งหมด


เพราะคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


มีหน้าที่ดูแลและกำกับสื่อของรัฐ แต่ทุกวันนี้สื่อของรัฐกลับออกอาการหน่อมแน้ม


ทำงานกันเหมือนไม่รู้ว่าไม่รู้ว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร


ผมจะบอกให้ก็ได้


ประเทศไทยขณะนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์สงครามสื่อสารมวลชน


ที่มีคุณทักษิณ ชินวัตรเป็นแม่ทัพใหญ่


และยุทธศาสตร์หลักของคุณทักษิณคือ


ทำให้ผู้รับข่าวสารจากคุณทักษิณ เชื่อว่า


คุณทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


และคุณทักษิณยังเก่งขนาดทำให้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา


เชื่อว่าคดีของคุณทักษิณเป็นคดีทางการเมืองไม่ใช่คดีอาญา


จนเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชากล้าที่จะเลือกยืนข้างคุณทักษิณ


ด้วยการแต่งตั้งให้คุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา


และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนอย่างเป็นทางการ


เท่ากับเป็นการตบหน้าคนไทยและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


ที่ตัดสินลงโทษจำคุกคุณทักษิณ 2 ปี


ยุทธวิธีที่จะทำให้ยุทธศาสตร์นี้สำเร็จคือ


การให้ข้อมูลข่างสารซ้ำไปซ้ำมา


โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงต้นสายปลายเหตุของโทษที่ได้รับ


แค่ย้ำว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง เพราะทำงานมากเกินไป


หรือมัวแต่ทำงานโดยไม่ได้ระวังตัวจึงถูกกลั่นแกล้ง อะไรทำนองนี้


ผมเข้าใจดีว่าการที่จะตอบโต้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่คุณทักษิณใช้เป็นเรื่องยาก


เพราะการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความรู้ เป็นข้อมูลที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง


ยากกว่าการให้ข้อมูลที่เน้นไปที่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว


แต่ไม่มีสงครามครั้งไหนที่ง่ายเหมือนนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านกับลูกเมียหรอก


ที่ผ่านมาเกือบปีรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จ


ที่จะทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อได้อย่างสนิทใจว่า


คุณทักษิณได้รับโทษเพราะทำผิดกฎหมาย


หลายคนยังเชื่อเหมือนที่คุณทักษิณพยายามสื่อว่า


ได้รับโทษเพราะโดนกลั่นแกล้งโดนอิจฉาเพราะทำงานรับใช้ชาวบ้านเก่งเกินหน้าเกินตา


ก็เพราะยากนั่นแหละจึงจำเป็นต้องใช้รัฐมนตรีที่ฉลาดมีสมองมากกว่าคุณสาทิตย์มาทำงาน


ยิ่งมาเจอการให้สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณทักษิณมากนัก


เพราะแค่เป็นการเคลื่อนไหวของนักโทษหลบหนีคนหนึ่ง


ผมยิ่งหมดหวัง เพราะคุณสาทิตย์ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองมีหน้าที่อะไร


ถ้าคุณอภิสิทธิ์ยังใช้ขุนพลหน่อมแน้ม อย่างคุณสาทิตย์ มาทำงาน


ในสถานการณ์ที่ต้องทำศึกกับคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญการสื่อสารกับชาวบ้านมากที่สุด


อย่างคุณทักษิณ ถ้ายังมัวแต่ลอยไปลอยมาตั้งตนอยู่ในความประมาท


ไม่ใส่ใจ อีกไม่นานก็คงพังกันทั้งรัฐบาลนั่นแหละ


คุณทักษิณอยู่ดูไบ แต่มีปัญญาใช้สื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุ


ส่งข้อความออดอ้อนเรียกร้องหาความเป็นธรรมที่ต้องการได้ทุกวัน


แต่คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เสียอีกเป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจ มีหน้าที่


มีเครื่องมือสื่อสารกับชาวบ้านทั่วประเทศ


กลับทำงานไม่เป็นและยังไม่ให้ความสนใจอีก


อย่าว่าแต่จะทำงานในเชิงรุกเพื่อทำลายความชอบธรรมของคุณทักษิณเลย


แค่ทำงานเชิงรับ รับมือกับคุณทักษิณที่ขยันเขียน “ทวิตเตอร์” เช้าเย็นยังไม่มีปัญญาทำ


ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง


ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ยิ่งคุณสาทิตย์ห่วยแตกมากเท่าไร


ชาวบ้านยี่งเชื่อและศรัทธาคุณทักษิณมากขึ้นเท่านั้น





























สาทิตย์ วงค์หนองเตย เธอทำหน้าที่อะไรในรัฐบาลนี้ เชอะ!...







โดย toodtoodton

เกือบหนึ่งปี น้องเดียวผมชี้ตั้งเด่ ตัวสั้นเปี๊ยก เธอทำอะไรอยู่หรือ?

อ้อ เปลี่ยนโลโก้หอยม่วง โถ...น้องเดียว

ว่ากันว่าน้องเดียวจะขยับเมื่อหมีควายดำสั่งให้เขยื้อน หากนอกเหนือคำสั่งกำนันควายดำ น้องเดียวไม่มีสมองคิดทำ อุ๊บ... เรื่องจริงจากสันติไมตรี

น้องเดียว ในความไร้เดียวสาแบบเด็กน้อยเกมส์ทศกัณฑ์ ผู้ยังหลงใหลอยู่กับเกมส์ทายใบหน้าคจากลังปัญญา หารู้ไม่ว่าภารกิจหนึ่งเดียวของหน้าที่ตัวคือ ต้องทำอะไร...

รู้หรือไม่รู้...รู้...ทำหรือไม่ทำ...ไม่ทำ...

จะด้วยขาดสติปัญญา หรือขาดความกล้าหาญ อะไรก็ช่างเถอะ แต่การที่ยังลอยหน้าลอยตาท่ามกลางสงครามเต็มรูปแบบด้านสื่อสารมวลชน โดยที่ตัวเองมองมันอย่างเมินเฉย สมควรหรือไม่ที่จะต้องเฉยหัวตัวเองออกไป

ไม่...ไม่ต้องแทรกแซงสื่อ เพียงแต่เอาความจริงกับเวลาที่เหมาะที่สมและมากพอ บอกกล่าวความจริงกับประชาชน ความจริง!! ความจริง!!! และความจริง!!!

ความจริงที่ประชาชนที่ยังมืดบอดยังไม่ได้รับรู้

โดยเฉพาะเรื่องราวกลโกง การโกหกหลอกลวงของบรรดาหัวขวด ร่างคางคกทั้งหลาย การจาบจ้วง ความก้าวร้าวรุนแรง ทำได้ ทำอย่างมีศิลปะ ทำสกู๊ปดีดี สวยสวย ตื่นเต้นน่าติดตาม

บัดโธ่...เท่านี้ขี้คร้านละครเจ็ดสี สามสีจะตกวูบลงฉับพลัน

ก็เรื่องจริง เรื่องเข้มข้น เรื่องประเทืองสมองที่น่าติดตามเช่นนี้ ใครก็อยากดู ดูอย่างเนชั่นแนลจีโอ กราฟฟิค ปะไร เรื่องของสัตว์น่าขยะแขยงอย่าง "อีกัวน่า" แท้แท้ คนยังสนใจกันโลก

เฮ้อ เหนี่อยกับน้องเดียวคนนี้เสียเหลือที่

ไม่ใช่อะไรหรอกที่พูดมาทั้งหมดอยากให้เธอได้เป็นน้องเดียว คนที่เป็นอัจฉริยะตอบปัญหาของลุงปัญญาได้หมดทุกข้อนานนาน

ไม่อยกาเห็นเธอต้องตกม้าตายอย่างน่าเวทนา เพราะความขลาดและโง่เขลาของตนเอง

โลกหมุนเวียน สมัคร สุนทรเวช

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เถรขวาด...

โดย กระจกเงา

คมชัดลึก : “จึงหมายว่าจะแกล้งแปลงอินทรีย์ เป็นกุมภีล์ลงไปในอยุธยา จะทำเสียให้วุ่นขุ่นทั้งกรุง เอาให้ยุ่งถึงสมเด็จพระพันวษา”...


สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ทำให้นึกถึงเถรขวาด ตัวละครในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ แปลงกายเป็นจระเข้ออกอาละวาดไล่งับกัดคนในเมืองหลวงกรุงศรีอยุธยาให้วุ่นวายไปทั้งเมือง

เถรขวาดเป็นพระระดับพระสังฆราชาประจำเมืองเชียงใหม่ เคยถูกพลายชุมพลลูกชายคนหนึ่ง ของขุนแผนเอาดาบฟันแสกหน้า ถึงวันหนึ่งส่องกระจกเห็นรอยแผลที่หน้าผากก็ให้แค้นเคืองคิดเอาคืน

เถรขวาดจึงวางแผนดังคำกลอนข้างบนนั่น คือแปลงร่างเป็นจระเข้หมายล่อพลายชุมพลให้ออกมาสู้กับตน ทั้งที่เถรขวาดตอนนั้นอายุปาเข้าไปกว่า ๘๐ ปีแล้ว

ก่อนจากเมืองเชียงใหม่ลงมากรุงศรีอยุธยาได้มีผู้ตักเตือนเถรเฒ่าว่าแก่แล้วอยู่กับบ้านสบายๆ จะดีกว่า อย่าได้ไปออกสนามรบรนหาที่ตายเลย แต่เถรขวาดก็ไม่เชื่อเพราะเป็นเฒ่าเถรดื้อรั้นโดยนิสัยอยู่แล้ว

เถรขวาดนั้นจะกลายร่างแปลงพันธุ์เป็นสัตว์อะไรก็ได้แล้วแต่นึกสนุก เช่นแปลงเป็นอีแร้งบินจาก เหนือลงมาที่อ่างทองก่อนกลายเป็นจระเข้ยักษ์เขี้ยวโง้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เที่ยวไล่ล่มจมเรือชาวบ้าน และไล่กัดกินคนดะเรื่อยลงมาจนถึงกรุงศรีอยุธยาในที่สุด

แม้ในงานบุญการกุศล ขณะที่ชาวบ้านเล่นเพลงลอยเรือฉลองพระกันอยู่ที่ อ.ป่าโมก จระเข้เถรขวาดก็ไม่ละเว้นออกอาละวาดไล่งับกัดคน ในขณะที่จระเข้เจ้าถิ่นก็พากันเกรงกลัวหนีหายไปสิ้น จระเข้เถรขวาดจึงสามารถทำลายล้างได้อย่างสนุกยิ่งตามอำเภอใจตน

แถมในวันว่างยังคืนร่างกลับเป็นเถร ออกบิณฑบาตให้ชาวบ้านทำบุญใส่บาตรให้อีกด้วย ริยำถึง ขนาดนั้น

จระเข้เถรขวาดได้เข้ามาแผลงฤทธิ์อาละวาดถึงกรุงศรีอยุธยาในแม่น้ำบริเวณโรงเก็บเรือหลวง จนร้อนถึงสมเด็จพระพันวษาเจ้า ต้องส่งพลายชุมพลซึ่งเป็นหมอจระเข้ออกไปปราบ

ฉากที่ต่อสู้กันระหว่างเถรเฒ่ากับคนหนุ่มรูปงามอย่างพลายชุมพลจึงได้เริ่มต้นขึ้นตรงที่บริเวณ แม่น้ำใจกลางเมืองกรุงศรีอยุธยานี้ ผลก็คือคนแก่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่คนหนุ่ม ต้องถูกจับมัดไว้และต้อง กลายร่างเป็นเถรร้ายประจานให้ชาวบ้านเห็นในตอนจบ

เถรขวาดถูกประหารชีวิตแถมยังถูกด่าว่าเป็น “ทุด อ้ายแก่โกโรก...” ต้องโทษมหันต์อันธพาล โดยถูกพลายชุมพลคนหนุ่มตัดหัวทิ้งที่ตะแลงแกงใจกลางเมืองนั่นเอง

เถรขวาดมีลูกศิษย์ชื่อเณรจิ๋ว แต่ไม่เกี่ยวกันนะครับ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ว่าด้วยพระราชอำนาจ และคำสัตย์ปฏิญาณ

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

ดูเหมือนว่า จะมีผู้ลืม หรือไม่รู้ (หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้) เรื่องของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการตำรวจอยู่

ก่อนอื่น ควรเข้าใจว่า ระบอบการปกครองเมืองไทยนั้น เป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตรงที่ควรจำให้ได้นั้นคือคำว่า "ประชาธิปไตย" ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าประเทศไหนๆ อำนาจอธิปไตยก็เป็นของประชาชนทั้งนั้น แม้จะยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ อย่างในเมืองไทยและอีกหลายๆ ประเทศ พระมหากษัตริย์ก็ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนเท่านั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับบัญญัติไว้ชัดเจนเช่นนั้นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ประกาศใช้ใน พ.ศ.2475

และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ก็บัญญัติไว้อย่างเดิมว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของ "ปวงชนชาวไทย" และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบัญญัติไว้ตรงไหนในมาตราใดเลย ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนข้าราชการตำรวจ มีแต่ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 (มาตรา 26) ที่ระบุว่า การแต่งตั้งยศข้าราชการตำรวจสัญญาบัตร ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโอกงการ" และการถอดถอนก็ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโองการ" เช่นเดียวกัน

การแต่งตั้งและถอดถอน (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก และหนีโทษไปอยู่ต่างประเทศ เป็นมาตรการทางการบริหาร ไม่ใช่พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และสมมุติว่าเป็น แต่ในการใช้พระราชอำนาจ พระมหากษัตริย์ก็ทรงถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญอยู่ดี

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งใครตามพระราชอัธยาศัย มิใช่ว่าทรงนึกจะแต่งตั้งใครให้มียศอะไร สูงต่ำเพียงไหน ก็ทรงแต่งตั้งคนนั้นได้ แต่การแต่งตั้งต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระมหากษัตริย์เพียงแต่ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งเท่านั้น

แม้การแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา ให้มียศเป็นนายทหาร ก็ไม่ได้เกิดหรือมาจากพระราชดำริ แต่ขึ้นต้นโดยกองทัพนั้นๆ ตามกฎหมาย

เรื่องการถอดยศก็เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์จะทรงทำโดยพระราชอัธยาศัย ทรงนึกจะถอดยศใครก็โปรดเกล้าฯให้ถอดไม่ได้ จะถอดยศทหาร กองทัพก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ จะถอดยศตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ และการดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมายเหมือนกัน

ส่วนการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติในมาตรา 192 ว่าเป็นพระราชอำนาจ แต่วิธีดำเนินการก็เริ่มต้นที่กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ พระมหากษัตริย์ไม่เคยทรงเรียกคืนตามพระราชอัธยาศัย

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังพยายามจะให้พระราชทานอภัยโทษ หรือไม่ให้ทรงถอดยศ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าเป็นพระราชอำนาจนั้น จึงลืม หรือไม่รู้ หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้

จบเรื่องพระราชทานยศและถอดยศแล้ว ต่อไปนี้ ผมขอนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ของนายทหารและตำรวจผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี ซึ่งเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดินเป็นพิเศษ อันเป็นพระราชดำริแรกเริ่มในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาลงให้อ่านกัน ดังนี้

"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณ) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตัว ต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่ หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที อย่าให้มีความสุขสวัสดีด้วยประการใดๆ หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ มีพระสยามเทวาธิราช เป็นต้น จงบันดาลความสุขความสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ ได้เป็นกำลังทำนุบำรุงประเทศชาติสืบไป สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

ขอแถมท้ายด้วยคำสาบานของทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ ที่ถวายต่อพระพักตร์เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี

"ข้าพเจ้าจักยอมตายเพื่ออิสรภาพและส่วนรวมแห่งชาติ

ข้าพเจ้าจักรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้าพเจ้าจักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา

ข้าพเจ้าจักเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์

ข้าพเจ้าจักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม

ข้าพเจ้าจักไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด"

ที่ผมนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณและคำสาบานมาเขียนให้อ่านนี้ ก็เพราะเห็นว่า มีการไม่รู้ หรือลืม หรือทำเป็นไม่รู้ หรือทำเป็นลืม เหมือนๆ กับเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอน

คนอื่นก็ช่างมันเถอะครับ แต่ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณและสาบานกันไปแล้วน่ะ ผมเป็นห่วง

หน้า 6

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แก้รัฐธรรมนูญ...แก้แล้ว(ใคร)ได้อะไร?

โดย

งานแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลผสมประชาธิปัตย์เหมือน "ควายจมปลัก" ตัวเองก็แสดงเจตนาแต่ต้นแล้วว่า "ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐" ในขณะที่ "เพื่อไทย" เขาก็ไปตามลีลาของเขา "มึงมาซ้าย-กูไปขวา, มึงมาขวา-กูไปซ้าย" เมื่อฝ่ายรัฐบาลบอกไม่แก้ กูก็จะแก้ กระทั่ง ส.ว.ส่วนใหญ่เขาไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนอันใดต้องแก้ ยิ่งในส่วนประชาชนเอง ถ้ามีช่องให้กรอกในใบประชามติ เขาอาจกรอกข้อความว่า "จะแก้ให้มันยุ่งมากและมากปัญหาไปเพื่อพระแสงอันใด"?

ก็พวกประชาธิปัตย์นั่นแหละ รวมทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ ทำเก๋าเกม จะใช้การแก้-ไม่แก้เป็นตั๋วในการซื้อเวลาการเมือง ก็เลย "จับไก่" เพื่อไทยที่อยากแก้รัฐธรรมนูญดีนัก เอ้า...แก้ก็แก้ แต่จะแก้ตรงไหน อย่างไร ก็โยนให้คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ไปสรุปประเด็นมา ฝ่ายเพื่อไทยเมื่อถูกจับไก่ก็เลยต้อง "ตกกระไดพลอยโจน"

แล้วผมอยากรู้จริงๆ ว่า พวกคุณ "แก่แดด" เขี้ยวลากกันขนาดนั้นไม่รู้หรือว่า ที่สรุปกันมา ๖ ประเด็นนั้น ถึงจะเดินตามกรอบมาตรา ๒๙๑ แต่เอาจริงๆ มันแก้ไม่ได้ เพราะขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญในประเด็น "เป็นมาตราที่พวกตัวเองมีส่วนได้-ส่วนเสียโดยตรง"!?

ต่างคนต่างกลบไต๋ ในใจลึกๆ ประชาธิปัตย์ก็รู้ว่า "ลงท้ายก็ไม่ได้แก้" ส่วนฝ่ายเพื่อไทยนั้น ไต๋ตัวเองก็มีอยู่ว่า แก้มาตราไหนก็ได้ ถ้าเปิดช่องให้ทักษิณรอดคดี-รอดยึดทรัพย์-กลับเมืองไทยโดยไม่ต้องเข้าคุกเป็นใช้ได้

แต่ที่ชูมา ๖ ประเด็นนั้น มันบ่มิไก๊ ทักษิณไม่ได้อะไร เข้าตำรา ไก่ก็ไม่ได้ แต่กลับเสียข้าวเปลือกไปทั้งกำมือ ฝ่ายเจ้าตัว ทักษิณ-ผู้รู้ชะตาตัวเองแล้ว แต่ลูกน้องยังงมงายอยู่ใต้เกมประชาธิปัตย์ จึงอดรนทนไม่ไหว ต้องโฟนอินมาตบกะโหลกยกแก๊งกันไปกลางวงประชุมพรรค

ไม่แก้ ๖ ประเด็น แต่ต้องแก้โดยเอารัฐธรรมนูญ ๔๐ มาใช้ทั้งฉบับ!?

ก็แค่เอาสีข้างเถลือกไถลไปข้างๆ คูๆ อย่างนั้นเอง การยกเงื่อนไขให้เอารัฐธรรมนูญอื่นๆ ทั้งฉบับมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้น มันไม่ใช่วิสัยปัญญาชนคนการเมืองที่จะพูดแบบคนไร้สติปัญญาหากรอบปฏิบัติอันชอบตามกฎหมายมิได้อย่างนั้น เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ การที่จะเอารัฐธรรมนูญฉบับอื่น มาใช้แทนฉบับปัจจุบันให้ทันใจ และถูกใจตามวิธีการ "แดงทั้งแผ่นดิน" ของทักษิณ มันก็มีวิธีเดียว คือ

ปฏิวัติ แล้วฉีกกกกทิ้ง!!!!

หรือจะเอาฉบับไหน หรือจะเขียนใหม่ตามใจแม้ว ตามใจเมีย ก็ตามสบาย นั่นแหละความหมาย "แก้รัฐธรรมนูญ" ยกเอาเก่ามาแทนใหม่ทั้งฉบับตามตำรับแม้ว!

แล้วนี่อภิสิทธิ์เพริดไปแล้วกับเกมแก้รัฐธรรมนูญ แรกๆ ทำแบบจำใจ เพราะประชาธิปไตยต้องจอดทุกสถานี ก็ตอนนี้ตัวเจ้ากี้เจ้าการใหญ่เขาไม่เอาแล้ว ก็ควรเลิกเล่นเกมแก้รัฐธรรมนูญเสียที จะต้องไปตั้งกรรมการ ๒ สภามายกร่างฯ ไปเพื่ออะไร ระวังเถอะ ขืนไกลไปถึงขั้นทำประชามติด้วยงบ ๒,๐๐๐ ล้านบาทละก็

อภิสิทธิ์-ชาตินี้ไม่มีฟื้น!

เพราะนอกจากผลาญไป ๒,๐๐๐ ล้านแล้ว ประชามติที่ได้มา ซึ่งน่าจะลบมากกว่าบวกด้วยซ้ำ นอกจากไม่มีผลคุ้มค่าอะไรแล้ว ที่สำคัญคือ ๖ ประเด็นนั้น ถ้าเข้าสู่กระบวนการชี้ขาดออกมาว่า "ขัดกฎหมาย" นำเข้าสู่การแก้ไขไม่ได้ แล้วใครจะรับผิดชอบ!?

ในเมื่อเพื่อไทยเขาล้ม "มติวิป ๓ ฝ่าย" ก็ถือโอกาส "เลิกกันไป" ก็จบเรื่อง-จบปัญหา แล้วจะมาบ้ากันต่ออยู่เพื่ออะไร รัฐธรรมนูญปี ๕๐ นี้ ก็ทราบกันอยู่ว่า ร่างขึ้นมาเหมือน "ยันต์ปิดปากหม้อ" เป็นการใช้สยบมาร-ปราบผีร้าย เพื่อเปิดโอกาสแก้ไขบ้านเมืองให้คืนสภาพโดยเร็ว พูดอีกที ก็เป็นที่รับทราบด้วยวิสัยวิญญูชนทั่วไปว่า

เมื่อถึงเวลาพร้อมก็ต้องแก้ไข หรือเดินเข้ากรอบเพื่อปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และบรรยากาศวิไล!

ถ้าจะว่าไปแล้ว ทักษิณ-ตัวใน หรือเพื่อไทยอันเป็นตัวกระดอง ก็ดัดจริต ยักกระสาย จะเอารัฐธรรมนูญปี ๔๐ ไปงั้นแหละ ใจจริงๆ แล้ว ถ้าอภิสิทธิ์บอกว่า "จะแก้รัฐธรรมนูญฉบับ ๕๐ โดยตัดมาตรา ๓๐๙ ทิ้งไป"

ทักษิณขี้เกียจจะคลานมากราบไข่อภิสิทธิ์ปลกๆ เสียด้วยซ้ำ!

ผมก็บอกแล้ว รัฐธรรมนูญ ๕๐ เจตนารมณ์ใช้เป็นยันต์ปิดปากหม้อ เอาวิญญาณชั่วร้ายถ่วงน้ำไว้ เขาไม่ได้ใจร้ายหวังเอาเป็น-เอาตาย แต่หวังเพียง "ถ่วงน้ำไว้ก่อน" เพื่อใช้เวลาว่างมาปรับปรุงบ้าน-ปรับปรุงเมือง เมื่อหมดเวร หมดกรรม ยันต์ก็จะหลุดไปเอง แล้วก็จะได้ไปผุดไปเกิดใหม่เหมือนแม่นาคพระโขนง

แต่หนังมันสะดุดหนามเตยก็ตรงที่ บรรดาผู้ขมังเวท คมช.ทั้งคณะรัฐ และคณะทหาร มันหน่อมแน้ม และห่วยแตกเอง ทำให้ยันต์ไม่ขลังเท่าที่ควร แถมมัดก็ไม่แน่น ปากหม้อเผยอเข้า-เผยอออก สัมภเวสีชั่วร้ายมันเลยโฟนอินได้รายวัน ไม่เชื่อลองไปถามกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กระทั่งหลวงพ่อ หลวงพี่ ครูเล็ก ครูใหญ่แถวในอีสานดู

มีใครบ้างที่สัมภเวสีไม่โฟนอินมาชวน "แดงทั้งแผ่นดิน" ทุกค่ำ-ทุกคืน?

แต่ถึงอย่างไร บ้านเมืองยังมีขื่อ-มีแป กฎหมายยังเป็นกฎหมาย ฉะนั้น รัฐธรรมนูญ ๕๐ ยังพอเป็นมนต์สะกดและมัดผีร้ายมิให้เหิมเกริม ออกอาละวาดตามอำเภอใจได้มากนัก

มาตรา ๓๐๙ เป็นยันต์ปิดกระหม่อมมารไว้ด้วยข้อความว่า:-

บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ครับ..เท่ากับว่า ทุกวันนี้ไม่เพียงใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ.๒๕๕๐ เท่านั้น หากแต่ยังใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว หรือรัฐธรรมนูญฉบับคณะปฏิวัติ ๑๙ ก.ย.๔๙ ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการอีกฉบับหนึ่ง

ทักษิณต้องดิ้นพราดๆ เหมือนถูกน้ำร้อน หรือถูกน้ำหน่อไม้ดองสาดหลังก็เพราะ "ยันต์สะกดผี" จากมาตรานี้แหละ ส่วนอีก ๓๐๘ มาตรานั่นน่ะ เรียกว่า...ไม่ครนาขี้เรื้อน!

ฉะนั้น สันดานจึงต้องแสดงออกมาเอง ด่าลูกน้องกลางตลาดโฉงเฉง หัวหน้าวิปฝ่ายค้านที่แสนจริงใจและแม่นในกฎหมายอย่าง "นายวิทยา บุรณศิริ" เลยกลายเป็นคนเสียหมาไปโดยปริยาย ถูกหาว่าไปเข้าค่ายกลฝ่ายรัฐบาล แก้ทำไม ๕ ประเด็น ๑๐ ประเด็น กูไม่ได้อะไร

เพราะหัวใจมันอยู่ในมาตรา ๓๐๙ ประเด็นเดียว!!!!

ในความเห็นของผม รัฐธรรมนูญนั้น มีขึ้นมาเพื่อเป็นกติการองรับ ความอยู่ดี-กินดี-ดำรงชีพดี-ด้วยสิทธิ-เสรีภาพทัดเทียมกันของประชาชนภายใต้กฎหมายบัญญัติ ไม่อยู่อย่างเหยียบหัวแม่ตีนซึ่งกันและกัน เรามองและประณามกันแต่ว่า กฎหมายไม่ดี กฎหมายเป็นอุปสรรค กฎหมายไม่เอื้ออำนวย

แต่ทำไมมนุษย์ในสังคม โดยเฉพาะ "สังคมการเมือง" ไม่ย้อนมองตัวเองบ้างว่า:-

กฎหมายที่ว่าไม่ดีนั้น เพราะปิดช่องไม่ให้เราเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่ายๆ ใช่มั้ย?

กฎหมายเป็นอุปสรรคการบริหารนั้น เพราะเราบริหารด้อยสำนึกจนอาจเป็นโทษต่อสังคมประเทศใช่มั้ย?

กฎหมายไม่เอื้ออำนวยนั้น เพราะเราบริหารแบบจะเอากฎหมายเป็นเครื่องมือโจรใช่มั้ย?

อย่ามองกฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร และการปกครองเสมอไป ต้องมองย้อนกลับด้วยว่า แล้วจิตเจตนา และการกระทำของเราแต่ละคน เป็นปัญหาและเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร และการปกครอง "เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ-ประชาชน" ด้วยหรือไม่?

กฎหมายรับใช้คน ฉะนั้น กฎหมายจะแก้เมื่อไหร่ แบบไหน อย่างไร ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยาก และต้องแก้ก่อน คือ แก้ใจในแต่ละคนให้ "สุจริต" เป็นที่ตั้งก่อน

รัฐธรรมนูญ เหยื่อนักการเมือง



ข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มจะวนไปวนมา พรรคนั้นจะเอาอย่างนี้ พรรคนี้จะเอาอย่างนั้น สรุปภาพรวมถกเถียงกันมาเป็นเดือน แทบไม่มีตรงไหนที่ประชาชนได้ประโยชน์ มีแต่นักการเมืองปากมอมทั้งหลายเอาประชาชนไปอ้างว่า ที่เถียงกันมาก็ทำเพื่อประชาชน

เป็นความอัปยศอดสูของนักการเมืองไทย ที่ตีราคากฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นเพียงแค่โสเภณี จะให้ความสำคัญก็เมื่อมีความยากเป็นการส่วนตัว และพร้อมจะถีบทิ้งหากไม่มีประโยชน์ใดๆ ให้ หากพิจารณาความต้องการของพรรคการเมืองต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าขึ้นกับสถานภาพของพรรคการเมือง ว่าช่วงเวลานั้นพรรคการเมืองพรรคนั้นเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล

เมื่อครั้งพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล ภายใต้นายกรัฐมนตรีชื่อ สมัคร สุนทรเวช กับ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีความกระเหี้ยนกระหือรืออย่างเห็นได้ชัดว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 237 กับบทเฉพาะกาลมาตรา 309 จุดประสงค์ก็เพื่อลบล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

ร้อยตำรวจเอกดอกเตอร์เฉลิม อยู่บำรุง ในวันนั้นมีวาสนาได้นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บอกว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราข้างต้น เพราะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน แม้แต่นายใหญ่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ก็แสดงจุดยืนเดียวกันนี้ และในวันนั้นไม่มีใครสักคนที่พูดว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาใช้แทนปี 2550 แต่พูดกันแค่ว่า แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ในบางมาตราที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในความหมายของคนชื่อทักษิณเท่านั้น

เพราะอะไร! ก็เพราะพรรคพลังประชาชนรู้ดีว่า ขณะที่ตัวเป็นรัฐบาลอยู่นั้นโอกาสที่จะพลิกรัฐธรรมนูญอย่างขนานใหญ่ อาจทำให้รัฐบาลล้มลงได้

แล้วพรรคประชาธิปัตย์ในวันนั้นว่าไง? พรรคประชาธิปัตย์คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกกรณี จุดยืนคือใช้รัฐธรรมนูญไปสักระยะให้รู้ถึงข้อบกพร่องแล้วค่อยแก้ไขทีหลังขณะที่ยังเป็นฝ่ายค้าน ผ่านไปแค่พริบตาเดียวพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล กลายเป็นตัวตั้งตัวตีแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยฉีกซองเอา 6 ประเด็นสำเร็จรูปจากกรรมการสมานฉันท์มาชง โดยให้สังคมโดยรวมเข้าร่วมในการแก้ไข

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ดีว่า 6 ประเด็นของกรรมการสมานฉันท์ไม่มีทางนำไปสู่ความสมานฉันท์ในชาติได้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นแค่ข้ออ้างในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะแก้ไขเพียงเพื่อให้ 6 ประเด็นนี้เป็นเกราะป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกครหาว่ารัฐบาลไม่ได้ริเริ่มให้มีการสมานฉันท์ ทั้งยังสามารถยืดอายุรัฐบาลไปได้อีกหลายเดือน

รัฐธรรมนูญถูกฉุดครั้งแล้วครั้งเล่า ตามแต่นักการเมืองต้องการให้สนองตัณหาเมื่อไหร่และอย่างไร ทั้งๆ ที่โดยเนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญปี 2550 คือฉบับปรับปรุงปี 2540 แม้จะมีที่มาจากการรัฐประหาร แต่ใช่ว่าจะเลวทรามถึงขนาดต้องฉีกทิ้ง

สาระของรัฐธรรมนูญปี 2550 แน่นกว่าปี 2540 ใน 2 หมวดหลักคือ สิทธิเสรีภาพของประชาชน กับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นการพัฒนามาจากปี 2540 แต่นักการเมืองจัญไรพยายามใส่ไฟว่าเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ

น่าแปลกที่คนญี่ปุ่นภูมิใจกับรัฐธรรมนูญของเขา ทั้งที่เป็นรัฐธรรมนูญซึ่งได้มาในฐานะผู้แพ้สงคราม หากคนญี่ปุ่นฉีกรัฐธรรมนูญที่นายพลแมคอาเธอร์ยัดเยียดให้ ป่านนี้ไม่มีใครรู้ได้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีการดำรงอยู่ของสถาบันจักรพรรดิ และการยกเลิกการผูกขาดทางเศรษฐกิจ จะยังคงอยู่เหมือนในปัจจุบันหรือไม่

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คดีโกงของทักษิณ

โดย สารส้ม

น่าแปลกใจมาก...

จากการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2552 ประธานรัฐสภาได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้ให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับการอายัดเงิน จำนวน 70,000 ล้านบาทเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และความคืบหน้าของคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และรายงานให้ประชาชนทราบ

ข้อมูลเรื่องนี้ ย่อมเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างแน่นอน ทั้งในฝ่ายของคนที่ชอบทักษิณ (อย่างมีเหตุมีผล) และไม่ชอบทักษิณ (อย่างมีเหตุมีผล)

ปรากฏว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือแจ้งเรื่องดังกล่าวต่อ ป.ป.ช. ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว ตรวจสอบข้อมูลเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้รายงานให้สาธารณชนทราบในเวลาต่อมาแล้ว (ผ่านเว็บไซต์)

แต่กลับไม่ปราฏว่า สาธารณชนทั่วไปจะได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวอย่างทั่วถึงเลย !

แม้แต่ในสื่อของรัฐเอง ก็ไม่มีการนำเรื่องดังกล่าว มาอธิบายข้อเท็จจริง ที่มาที่ไป เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจกรณีแต่ละกรณีอย่างชัดเจน

ทั้งๆ ที่ จะเป็นประโยชน์อย่างสำคัญต่อประเทศชาติ ในการที่ประชาชนจะได้เข้าใจการทำงานของกระบวนการยุติธรรมในลำดับต่อๆ ไปอย่างแท้จริง

และการที่ไม่ทำความเข้าใจ หรือตีแผ่สาระข้อเท็จจริงเหล่านั้น ยังเป็นผลให้ฝ่ายทักษิณ ได้อาศัยความไม่รู้ของสาธารณชน เป็นเครื่องมือบิดเบือน ปลุกระดมทางการเมือง โดยอำพรางผลประโยชน์ส่วนตัวในการจะเอาตัวรอดจากคดีทุจริตทั้งหลาย แอบแฝงเข้าไปอยู่ในข้อเรียกร้องทางการเมืองของประชาชนส่วนหนึ่ง

ทั้งแอบแฝงไปกับการถวายฎีกา

ทั้งแอบแฝงไปกับการเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ แล้วเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้แทน

จากข้อมูลของ ป.ป.ช. ช่วยทำให้ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีคดีโกงติดตัวอยู่มากแค่ไหน บางกรณี ยังไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง

สรุปความอย่างย่นย่อที่สุด ดังนี้

1) เรื่องที่ ป.ป.ช.รับโอนมาจาก คตส. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คุ้นๆ กันอยู่บ้าง เช่น

การอายัดเงิน 70,000 ล้านบาทเศษ กรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณกระทำการอันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนเองและพวกพ้อง ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติเสร็จสิ้น จึงได้มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สิน จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 80

อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีรํ่ารวยผิดปกติดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 เป็นคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ

นอกจากนี้ ก็ยังมีคดีที่ดินรัชดาฯ, คดีออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว, คดีทุจริตเอ็กซิมแบงก์ให้เงินกู้แก่รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท, คดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย

2) เรื่องที่อยู่ในการดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เช่น

(1) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐทำคำแถลงการณ์ร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Communiqu?) สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจของตนเองในประเทศกัมพูชา

(2) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก ว่าทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ในการประมูลงานจ้างเหมาบริการรักษาความปลอดภัย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยวิธีพิเศษ

(3) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย จำกัด (มหาชน) (TPI)

(4) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก ว่าทุจริตต่อหน้าที่ เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ในการประกอบกิจการค้าในการเดินอากาศ

(5) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก ว่าทุจริตต่อหน้าที่ในการดำเนินโครงการเมกกะโปรเจ็ค ในจังหวัดเชียงใหม่ โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่

(6) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 กรณีซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินโดยมิชอบ (ที่ดินรัชดา)

เรื่องนี้ เป็นการตรวจสอบคนละประเด็นกับที่ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาคดีที่ดินรัชดาไปแล้ว

(7) กรณีกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก กระทำผิดเกี่ยวกับการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโดยมิชอบ

เรื่องนี้ ศาลปกครองเคยวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า การแปรรูป กฟผ. ในยุครัฐบาลทักษิณนั้น กระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฯลฯ

จะเห็นว่า หลายกรณี ไม่มีการพูดถึงกันเลยในพื้นที่สื่อปัจจุบัน

เชื่อว่า คนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงเชิงลึก ว่าแต่ละกรณี มีการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไร ?

เงื่อนงำแห่งผลประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยนำข้อเท็จจริงมาชี้แจง หรือหักล้างข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริต หรือเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนเองเลย

รัฐบาล คงต้องเร่งมือให้ข้อมูลข้อเท็จจริงแก่ประชาชนโดยด่วน

มิฉะนั้น ก็คงจะมีการฉวยโอกาสอยู่ต่อไป เช่น อ้างลอยๆ ว่า ถูกรังแกบ้าง ไม่ได้รับความเป็นธรรมบ้าง อ้อนขอความสงสารบ้าง หลบหนีหมายจับแล้วไปให้ร้ายโจมตีศาลยุติธรรมอยู่นอกประเทศต่อไปเรื่อยๆ ปลุกระดมปลุกปั่นประชาชนต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสในการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้า ฯลฯ

ทั้งๆ ที่ ประเทศไทยต้องการให้ทักษิณกลับเข้ามาพิสูจน์ความสุจริตของตนเองในชั้นศาลยุติธรรม โดยไม่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองอย่างนี้ต่อไป




วันที่ 14/10/2009

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หยุดแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง หยุดสุมไฟให้แผ่นดิน

เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยฅน



โดยทั่วไป ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนรวม เวลาจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มักจะมีความรู้สึกเขินอาย แต่นั่นเป็นข้อยกเว้นสำหรับนักการเมืองไทยจำนวนมาก

ขณะนี้ ดูเหมือนนักการเมืองในสภาจะผนึกกำลังกันเฉพาะกิจ ดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมือง โดยไม่ปรากฏซึ่งความรู้สึกเขินอายแต่อย่างใดเลย

1) รัฐธรรมนูญ 2550 ได้ผ่านประชามติ ด้วยความเห็นชอบของประชาชน จำนวน 14.7 ล้านคน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ผ่านมาเพียง 2 ปี ยังไม่ปรากฏว่า ประชาชนหรือประเทศชาติส่วนรวมจะได้รับผลกระทบหรือความเสียหายใดๆ จากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้

คงมีแต่นักการเมืองทุจริต และพรรคการเมืองทุจริต จำนวนหนึ่ง ที่ต้องถูกลงโทษไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

ตรงกันข้าม ประชาชนยังไม่ได้ผลประโยชน์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ ก็เพราะความที่นักการเมืองนั้นเอง ยังมิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วน

แทนที่จะเอาใจใส่เร่งออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และจัดตั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเงื่อนเวลาที่ปรากฎของรัฐธรรมนูญ เช่น จัดตั้งองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภค องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย การสร้างประมวลจริยธรรมของนักการเมือง เป็นต้น แต่บรรดา ส.ส. ส.ว. กลับสนใจแต่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตน และประโยชน์แก่พรรคการเมืองของตน

รัฐธรรมนูญ 2550 ได้ผ่านการทำประชามติเพียง 2 ปี ซึ่งบรรดา ส.ส.และส.ว. ขณะนี้ล้วนเข้าสู่ตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพียง 1 ปีเศษก็มุ่งจะแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่เคารพมติของประชาชน เสมือนนักกีฬาที่ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน แต่ขอทำประชามติใหม่ อาจถูกมองได้ว่าบรรดานักการเมืองเหล่านี้ ไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่มุ่งแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของตนเอง

นักการเมืองเหล่านี้มีพฤติกรรมไม่ต่างจากผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่เข้ารับงานตามแบบก่อสร้างและเงื่อนไขของการทำงาน แต่เมื่อชนะการประกวดเข้าทำงานโดยที่งานยังไม่เสร็จสิ้น ก็ขอแก้แบบก่อสร้างและเงื่อนไขเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง

โดยประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น ได้แก่

(1) มาตรา 237 การยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคที่ทุจริตเลือกตั้ง

(2) มาตรา 93-98 ที่มาของส.ส.

(3) มาตรา 111-121 ที่มาของส.ว.

(4) มาตรา 190 การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

(5) มาตรา 265 การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ส.ส.

และ (6) มาตรา 266 การแทรกแซงข้าราชการประจำ

ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับวิธีการเข้าสู่อำนาจ กรอบแห่งอำนาจ และการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองทั้งสิ้น

2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็นดังกล่าว มิได้ช่วยแก้ไขความขัดแย้งของสังคม และไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ได้ แต่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการเลือกตั้งใหม่

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นเพียงการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งของนักการเมืองกันเอง จากเขตใหญ่เป็นเขตเล็ก ตอบสนองความต้องการของนายทุนพรรคการเมือง ทำให้ประชาชนเลือกผู้แทนในเขตของตนได้จำนวนน้อยลง แต่ยิ่งจะทำให้ปัญหาการซื้อเสียงรุนแรงขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็หนีไม่พ้นการเจรจาตกลงกันเพื่อประโยชน์ในการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง ย่อมเป็นการแก้ไขเพื่อนักเลือกตั้งอย่างชัดเจน

การยกเลิกมาตรา 237 วรรคสอง จะยิ่งทำให้การซื้อเสียงรุนแรงขึ้น โดยที่พรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคไม่มีความยำเกรง หรือจะต้องสอดส่องดูแลแก้ไข เพราะไม่มีบทลงโทษเด็ดขาด อีกทั้ง จะทำให้จำกัดบุคคลผู้ได้รับโทษและอาจส่งผลให้นักการเมืองผู้ได้กระทำความผิดและได้รับโทษอยู่พ้นโทษไป

การเปลี่ยนแปลงวิธีการได้มาซึ่ง ส.ว. หากกลับไปใช้วิธีเลือกตั้งตามเดิม โดยไม่มีข้อห้ามในเรื่องการเป็นบุพการี คู่สมรส บุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือ ส.ส. และห้ามเป็นสมาชิกพรรคหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรค หรือเป็นหรือเคยเป็น ส.ส.แล้วพ้นจากตำแหน่งมา 5 ปี จะทำให้วุฒิสภากลับไปมีสภาพเป็นสภาทาส สภาหมอนข้าง หรือสภาผัวเมียเหมือนเดิม

การยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 265-266 จะเปิดโอกาสให้มีการทุจริตเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะคู่สมรสและบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถเป็นหุ้นส่วนหรือถือครองหุ้นบริษัทธุรกิจต่อไปได้ อาจนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตัว เปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปดำรงตำแหน่งหรือแทรกแซงสั่งการหน่วยงานของรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

นอกจากนี้ การแก้ไขมาตรา 190 ที่บัญญัติให้การทำสนธิสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างรุนแรงจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างกว้างขวาง และต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ยังมีข้อถกเถียงว่ามีเหตุผลจำเป็นเพียงพอที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะบทบัญญัติดังกล่าว มิได้บังคับว่าทุกเรื่องจะต้องขออนุมัติจากรัฐสภา แต่ให้มีการออกกฎหมายลูก เพื่อกำหนด จำแนก แยกแยะ ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลและรัฐสภาสามารถจะร่วมกันดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ

3) ส.ส. และ ส.ว. ที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่างมีผลประโยชน์ส่วนตนขัดแย้งกับผลประโยชน์ของส่วนรวม เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติ "ให้การกระทำของ ส.ส. ส.ว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากความขัดแย้งแห่งผลประโยชน์"

ยังปรากฏด้วยว่า ในความพยายามแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีบุคคลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง หรือผู้มีอิทธิพลอำนาจเหนือพรรคตัวจริง ไม่สามารถอาสาทำงานการเมืองได้เป็นเวลา 5 ปี เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายพินิจ จารุสมบัติ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเนวิน ชิดชอบ และนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี เป็นต้น คนเหล่านี้ได้เข้าประชุมตกลงเนื้อหาและวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2552 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในที่ประชุม

ดังนั้น บรรดา ส.ส. และ ส.ว. ที่ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าว ย่อมส่อแสดงว่า เป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติ มอบหมาย หรือครอบงำ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่บัญญัติว่า "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ"

การกระทำความผิดดังกล่าว มีโทษร้ายแรงว่าจงใจกระทำการขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ละเว้น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีโทษขั้นถอดถอน และมีความผิดทางอาญา

4) การแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขาดความตระหนักถึงหัวจิตหัวใจและความเสียสละของประชาชนจำนวนมาก ที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิต ร่างกาย และอวัยวะเพื่อรักษารัฐธรรมนูญ นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ผ่านเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ได้เกิดต้นทุนความสูญเสียกับประชาชนคนไทยอย่างมหาศาล

ที่ผ่านมา รัฐบาลมิได้ตั้งใจที่จะเยียวยาบาดแผลของประชาชนที่รักและห่วงแหนกติกาของบ้านเมือง มาบัดนี้ กลับจะร่วมมือกับนักการเมืองส่วนที่เคยมีเจตนาร่วมทำร้าย จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจว่า เหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน จึงได้เข้าร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้

การกระทำเยี่ยงนี้ เสมือนหนึ่งจงใจกรีดบาดแผลซ้ำลงไปในหัวใจของประชาชนผู้รู้สึกสูญเสียในระหว่างการต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญและการพิจารณาคดีของอำนาจตุลาการ ใช่หรือไม่

ล่าสุด ประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อแประชาธิปไตยได้แสดงฉันทามติร่วมกันแล้วว่า หากนักการเมืองดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนเองดังกล่าวเมื่อใด จะมีการชุมนุมใหญ่เพื่อต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างถึงที่สุด

5) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 สามารถกระทำได้อย่างแน่นอน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน มิใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมืองเยี่ยงนี้

อีกทั้ง การจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญประการใดๆ ก็ควรจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ได้ตามบทบัญญัติ มาตรา 244 (3) ให้ติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น

ปรากฏว่า ชมรม สสร.50 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ได้ติดตามตรวจสอบการใช้รัฐธรรมนูญ พิจารณาว่า นับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 เป็นต้นมา ยังไม่ปรากฏว่าผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีการประเมินการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่นักการเมืองผู้มีส่วนได้เสีย กลับพยายามจะชิงแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง

ล่าสุด ชมรม สสร.50 ได้ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากละเว้น หรือจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ ก็จะดำเนินการเพื่อให้มีการถอดถอนและดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

หยุดสุมไฟให้แผ่นดิน

ปัญหาของประเทศชาติในวันนี้ ไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2550 แต่เป็นปัญหาเพราะนักการเมืองเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของตัว ของพรรค และของพวกพ้อง มากกว่าจะมุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง

ดังจะเห็นได้ชัดว่า นักการเมืองบางส่วน โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน ได้พยายามกระทำทุกวิถีทางตามอาณัติหรือสั่งการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ที่ต้องการล้มเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 แต่เอารัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาใช้แทนทันที เพราะหวังประโยชน์ในประเด็นทางกฎหมาย ที่จะเป็นคุณต่อคดีทุจริตโกงกินจำนวนมากของตนและพวก ทั้งที่ศาลพิพากษาไปแล้ว และที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล

ขณะนี้ ปัญหาของแผ่นดินมีมากหลาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม น้ำท่วม มลพิษ ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล การไม่ติดตามบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

การมุ่งจะแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะใช้การทำประชามติเป็นเงื่อนไข หรือเป็นเหยื่อล่อ แทนที่จะปลดสลักความวุ่นวายในบ้านเมือง กลับจะเป็นการสุมไฟให้กับความขัดแย้ง และความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะนอกสภา ไม่มีใครเอาด้วย แถมคนทำในสภา ก็ยังเสี่ยงจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญอีกด้วย

หยุดแก้รัฐธรรมนูญ ที่กระทำโดยนักการเมือง เพื่อนักการเมือง

หยุดสุมไฟให้แผ่นดิน


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

วันที่ 12/10/2009











วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ทวงพื้นที่รอบเขาพระวิหาร

โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




นายวีระ สมความคิด พร้อมตัวแทนคนรักชาติ เดินทางไปยังผามออีแดงอ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร พื้นที่ 4.6 ตารางกม.



อัมพวา.. โมเดลสร้างสรรค์ เศรษฐกิจชุมชน

โดย สุกัญญา ศุภกิจอำนวย






อัมพวา เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีสภาพทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาล แต่ถ้าไม่ได้บริหารให้ถูกทาง สิ่งที่มีก็..สูญเปล่า

เมื่อถูกนำมาพัฒนาใหม่ ใส่ Value ต่อยอดจากภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม อัมพวาก็เปล่ง "พลัง" แค่ 4-5 ปี อัมพวาเปลี่ยนจากตลาดน้ำที่ถูกทิ้งร้าง มีคนเดินทางมาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 5-6 แสนต่อปี

มีทั้งไทยไปจนถึงต่างชาติ ไม่รู้จักคำว่า โลว์ ซีซัน มีแต่คำว่า ไฮ ซีซัน ไม่สะเทือนแม้เศรษฐกิจตก สร้างเม็ดเงินให้ชุมชน 500 ล้านบาทต่อปี ประเมินจากการใช้จ่ายต่อคนประมาณ 1,000 บาท ส่งผลสู่บรรทัดสุดท้าย ชุมชนมีความเข้มแข็ง พึ่งพิงตนเองได้ ไร้อาชญากรรม

อัมพวา โมเดล ทำได้อย่างไร
ความสำเร็จของตลาดน้ำอัมพวาที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 5 ปีนับจากวันแรกของการรื้อฟื้นตลาดน้ำขึ้นมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2547 หากวิเคราะห์กันดีๆ จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของ การสร้างสรรค์ต่อยอดจาก "ภูมิสังคม" (แม่น้ำ) และทุนทางสังคม (ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน) ที่มีในตำบลแห่งนี้ จนกลายเป็น "ความได้เปรียบ" ในเชิงอัตลักษณ์ (Character) ของพื้นที่

"Key Area ของอัมพวา คือ ปอดของกรุงเทพ เป็นพื้นที่สีเขียวของภาคกลาง คนกรุงเทพอยากมีปอดหายใจ อยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ นี่คือทุนทางสังคมที่มีอยู่แล้ว สำคัญอยู่ที่การรู้จักจัดกระบวนการนำเสนอใหม่ (present) สุดท้ายก็จะเป็นมูลค่าเพิ่ม (value) " รท.พัชโรดม อุนสุวรรณ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอัมพวา ผู้ริเริ่มแนวคิดการบริหารจัดการพื้นที่อัมพวาในรูปแบบใหม่กล่าว

เขาให้ภาพย้อนหลังว่า เมื่อ 10 ปีก่อน อัมพวาแทบจะเป็นเมืองร้าง ตำบลที่ในอดีตเคยมีประชากรกว่า 1 หมื่นคน ลดลงเหลือ 5,000 คน ที่สำคัญกลุ่มคนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนแก่ ขณะที่คนวัยทำงานจากไป พร้อมกับการเกิดขึ้นของโครงข่ายคมนาคมทางบกที่เข้ามาทดแทนทางน้ำ

"ผมเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอัมพวาสมัยแรก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 ก็มานั่งคิดว่า จะแก้ปัญหา "เศรษฐกิจระดับชุมชน" ของคนอัมพวาอย่างไร

จนได้คำตอบว่าจะต้องทำให้อัมพวากลับมาเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำเหมือนในอดีตอีกครั้ง โดยอาศัย "ชุมชน" เป็นตัวขับเคลื่อน"

รท.พัชโรดมคลี่ปมปริศนาดังกล่าวด้วยการแปลงแนวคิดออกมาเป็นยุทธศาสตร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

"เราเคยมีเรือใช้เดินทาง1-2 วัน เพื่อไปกรุงเทพฯ เมื่อเรือหายไปก็ไม่ตอบโจทย์การพัฒนา ดังนั้น ถ้าเราจะเอาเมืองกลับคืนมา น้ำต้องกลับมาด้วย"

ปฏิบัติการ "ฟื้นตลาดน้ำ" ในปี 2547 จึงเกิดขึ้น ในปีเดียวกันที่เขารับตำแหน่งนายกฯ

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็เต็มไปด้วยเสียงค้านของคนในพื้นที่ที่มักจะถามกลับมาว่า...

"ใครจะมาเที่ยว ที่ผ่านมามีแต่คนเดินออก"

หรือกรณีการซ่อมแซมเรือนแถวริมน้ำเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ แม้จะได้เงินสนับสนุนบางส่วนจากสำนักงานความช่วยเหลือทางวิชาการจากเดนมาร์ค ชาวบ้านก็ไม่วายถามว่า...ซ่อมแล้วจะได้อะไร

กรณีการผุดแนวคิดล่องเรือชมหิ่งห้อย ก็เช่นกัน

ชาวบ้านถามอีกว่า... "นายกๆ แล้วใครจะมาดูหิ่งห้อย !!!"

โจทย์ถัดมาของการทำตลาดน้ำ รท.พัชโรดมบอกว่า จะต้องหา "จุดขาย" เพื่อสร้างความต่างจากตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่ห่างกันเพียง 15 ก.ม.

จึงมาลงตัวที่การจับจุดได้ว่าเมื่อตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็น...ตลาดเช้า อัมพวาก็ต้องเป็น "ตลาดเย็น"

ตลาดน้ำดำเนินสะดวกเน้นลูกค้าต่างชาติ ถ้างั้นคนไทยสัก 10 ล้านคนจะเป็นลูกค้าเราได้ไหม?

หลังตลาดน้ำเกิดขึ้น การเพิ่มทริปเส้นทาง "ล่องเรือชมหิ่งห้อย" ก็ตามมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และเมื่อคนมาเที่ยวเริ่มถามหาที่พัก ธุรกิจ "โฮมสเตย์" จึงเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อปี 48-49

ตามด้วยแนวคิดล่าสุด พัฒนาสินค้าจากท้องถิ่น เพื่อให้เป็นธุรกิจที่เกิดจากความเข้มแข็งของภูมิสังคมของที่นี่ ใส่ความรู้และเทคโนโลยีที่ไปกันได้กับพื้นที่ เช่น การพัฒนาน้ำดอกไม้ท้องถิ่น 5 ชนิด

เพื่อสร้าง "ความพิเศษ" ให้กับสินค้า นั่นคือไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อหาจากแหล่งอื่นได้ ต้องดั้นด้นมาถึงอัมพวา !!

กระบวนการต่างๆ เหล่านี้ ค่อยๆ เกิดขึ้นจากการเรียนรู้จากการปฏิบัติ จนกลายเป็นวงจรของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่เกือบครบเครื่อง

คงเหลือแต่โครงการพัฒนาผู้ประกอบการที่เริ่มทำจริงจังในปี 2551 หากทำได้สำเร็จ รท.พัชโรดมเชื่อว่า ต่อไปตลาดน้ำอัมพวาคงไม่ต้องลุ้นว่า เมื่อไรตลาดจะวาย เพราะความ "ยั่งยืน" จะเกิดขึ้นตามมา

การเกิดขึ้นของตลาดน้ำอัมพวาจึงผ่านกระบวนการคิด การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และวิธีการไว้เสร็จสรรพ ไม่ใช่เกิดขึ้นแบบฟลุคๆ

ขณะเดียวกันเมืองก็กลับมามีชีวิต ด้วยการกลับคืนมาของคนรุ่นใหม่

"สังคมต่างจังหวัด ลูกหลานเรียนจบเข้ากรุงเทพฯ แต่ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่เริ่มกลับเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นทุนภายในของที่นี่ แต่ก็ต้องระวังการแทรกแซงจากทุนภายนอกมาใส่จะพังหรือไม่"

ดังนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาผู้ประกอบการของชุมชนอัมพวาแห่งนี้ จึงเน้นให้คนท้องถิ่นในเจนเนอเรชั่นที่ 2 และ 3 กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เพื่อผสานประสบการณ์การทำธุรกิจของคนรุ่นพ่อ เข้ากับความรู้ของคนรุ่นใหม่

"คนที่นี่เก่งในเรื่องประสบการณ์ เช่น คั่วกาแฟมาหลายช่วงอายุคน แต่ขาดความเก่งในเรื่องวิชาการ ทำอย่างไรให้กาแฟที่นี่มีขีดความสามารถเท่ากับสตาร์บัคส์ เจ้าของต้องเข้าใจจุดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนรุ่นถัดมาจะมาสานต่อด้วยแนวคิดใหม่ๆ"

เมื่อริเริ่มใส่ความรู้เข้าไปในการพัฒนาสินค้าท้องถิ่น รท.พัชโรดมใช้วิธีประสานความร่วมมือไปยังเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (สสว.) โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อเข้ามาช่วยพัฒนาสินค้า ตอบโจทย์แต่ละด้าน

ทำให้อัมพวากลายเป็น "แล็ป" ขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่างๆ เมื่อทดลอง เห็นผล ก็สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมา

สร้างบรรยากาศที่คึกคัก ขณะนี้จึงเริ่มเห็นการกลับมาร่วมแจมของบรรดาเจนเอ็กซ์ เจนวาย มากขึ้นเรื่อยๆ

"ผู้ประกอบการที่อัมพวามีประมาณ 400-500 ราย ตอนนี้มีผู้ประกอบการสนใจร่วมโครงการประมาณ 10 ราย ในจำนวนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว 2-3 ราย ผมตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาสินค้าไว้ที่ 10% (กว่า 40 ราย) ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปีจากนี้"

แม้จะเป็นตัวเลขไม่สูง แต่รท.พัชโรดมวางแผนไว้ว่า ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เองที่เขาจะสร้างให้เป็นเหมือน "แม่เหล็ก" ดึงคนรุ่นใหม่ให้กลับมา เพราะกลับมาแล้ว เห็นโอกาสในการประกอบอาชีพ ดึงทั้งนักท่องเที่ยวเพราะเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของท้องถิ่น

ไม่เพียงการพัฒนาผู้ประกอบการด้วยการพัฒนาสินค้าท้องถิ่น นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอัมพวา ยังต้องการจะขยายไปถึงการสร้างแบรนด์ "อัมพวา" (Ampawa) แปะไว้บนแพ็คเกจจิงของสินค้าท้องถิ่น เพื่อสร้างความเป็น "โลคัล แบรนด์" และช่วยพัฒนาคุณภาพสินค้าท้องถิ่นอีกทาง

เพราะกว่าที่แบรนด์อัมพวาจะถูกประทับลงไปในสินค้าใด ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบในหลายขั้นตอน

"อัมพวาแบรนด์ไม่ได้ไปครอบสินค้า แต่จะไปคู่กับแบรนด์เดิมของสินค้า คนที่มาเที่ยวอัมพวาบางคนอยากรู้ว่า อะไรคือสินค้าอัมพวา เพราะตอนนี้มีสินค้าที่อื่นมาขายกันมาก ที่เราทำได้คือ การใช้กลไกรัฐเข้าไปช่วยทำให้แบรนด์ท้องถิ่นแข็งแกร่งขึ้น เป็นมาตรฐานของโลคัลแบรนด์"

นี่คือความชาญฉลาดในการ "แยก" สินค้าท้องถิ่นกับสินค้าต่างถิ่น

ไม่เพียงเท่านั้น ความเจริญของที่นี่อาจจะดึงดูดให้นักลงทุนต่างถิ่นเข้ามาทำธุรกิจต่างๆ จนกระทบต่อธุรกิจของชาวบ้านในท้องถิ่น

แต่ผู้บริหารของชุมชนที่นี่ได้วางแผน "สกัด" ไว้แล้ว

รท.พัชโรดมบอกว่า วิธีง่ายๆ ที่จะจำกัดกลุ่มทุนเหล่านี้ก็คือ การกำหนดให้เปิดตลาดน้ำแค่ 3 วันต่อสัปดาห์

ทำให้แม้แต่เซเว่น อีเลฟเว่น ก็ยังไม่กล้าผุดขึ้นมาในพื้นที่ เพราะใครจะกล้ามาตั้งในเมื่อรีเทิร์น ออฟ อินเวนเวสท์ มีอยู่แค่ 12 วันต่อเดือน ตามการเปิดตลาดน้ำสัปดาห์ละ 3 วัน

"ไม่มีการพัฒนาใดที่สมบูรณ์แบบ เราไม่ได้ห้ามให้ธุรกิจอื่นเข้ามา ตอนนี้ก็มีบ้างแต่ยังไม่น่าวิตก เพราะพวกเขาจะถูกบังคับไปในตัว เนื่องจากตลาดน้ำเปิดแค่ 3 วัน เป็นเจตนาของเราที่ต้องการ keep ความเจริญไว้เท่านี้ เพราะไม่ต้องการให้ทุนภายนอกเข้ามาทำลายทุนภายใน เราต้องการทำให้อัมพวาเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาตัวเองได้ มีภูมิคุ้มกันภายใน"

เป็นแนวทางการบริหารจัดการ ไม่ให้เกิดภาวะ "บูมแล้วเละ" เหมือนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ

วิธีนี้นอกจากจะเปิดโอกาสให้เมืองได้พักแล้ว ชาวบ้านที่หันมาทำหน้าที่พ่อค้าแม่ขายในวันสุดสัปดาห์ ก็มีเวลา "ลงสวน" ไปสร้างผลผลิต เป็นการรักษาอาชีพดั้งเดิมของท้องถิ่นไว้อีกทาง และช่วยให้ชาวบ้านไม่ต้องพึ่งพิงรายได้จากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างถิ่นขยาดไปโดยปริยาย คือ ราคาที่ดินที่อัมพวาซึ่งแพงลิ่ว โดยที่ดินติดริมน้ำราคาไร่ละ 4 ล้าน ไม่คุ้มค่าถ้าใครจะเข้ามาลงทุนแล้วมีรายได้เป็นกอบเป็นกำแค่ 12 วันต่อเดือน

ในมุมของการอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชนซึ่งต้องดำเนินควบคู่ไปกับความเจริญที่เข้ามาของอัมพวายังได้รับความสนับสนุนจากมูลนิธิชัยพัฒนาภายใต้ชื่อ "โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์" ซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้นำที่ดินของประยงค์ นาคะวะรังค์ ชาวอัมพวาที่น้อมเกล้าฯ ถวายมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน

ความสำเร็จของอัมพวาทำให้ที่ผ่านมามีหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนสนใจเดินทางมาดูงาน เพื่อสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า ไม่ใช่ทุกหน่วยงานจะประสบความสำเร็จจากการนำโมเดลนี้ไปใช้ เพราะขึ้นอยู่กับตัวแปรในเรื่องของกระบวนการ เป้าหมาย และปัญหาของแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป

"อัมพวาโมเดล มันเหมือนกับเรารู้วิธีตัดเสื้อในแบบฉบับของเราให้ใส่แล้วสบายตัว ใครจะเอาโมเดลเราไปพัฒนา ก็ต้องไป dressing ใหม่ให้เหมาะสมกับตัวเอง"

รท.พัชโรดมย้ำว่า อัมพวาใช้การท่องเที่ยวเป็นแค่ "เครื่องมือ" เท่านั้น มิติที่สำคัญที่สุดในฐานะหน่วยงานรัฐ คือ คุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นเป้าหมายของการพัฒนาชุมชน ซึ่งขณะนี้นอกจากชาวบ้านที่นี่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากการเพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ ยังช่วยแก้ปัญหาสังคม เช่นปัญหาหนี้สิน

หรือที่เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง คือ อัมพวาไม่มีคดีโจรผู้ร้ายเลย

ความสามารถในการแข่งขันของไทย

By wiwan

ในสัปดาห์ก่อน World Economic Forum (WEF) ได้ออกมาแถลงถึงรายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ในโลก ซึ่งประเทศไทยได้ตกลงมาจากอันดับที่ 34 ในปีที่แล้วมาเป็นอันดับที่ 36 ในปีนี้



การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ World Economic Forum ในปีนี้ จัดอันดับรวม 133 ประเทศ โดยดูในปัจจัยต่างๆ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มข้อกำหนดพื้นฐาน ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ สภาพแวดล้อมด้านสถาบัน (หมายถึง โครงสร้างกฎหมายและการบริหารจัดการ) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค ด้านสุขภาพและการศึกษาพื้นฐาน



กลุ่มเสริมประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม ความมีประสิทธิภาพของตลาดสินค้า ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน ระดับการพัฒนาของตลาดการเงิน ความพร้อมของเทคโนโลยี ขนาดของตลาด (ตลาดใหญ่ทำให้ธุรกิจมีโอกาสขยายได้) และกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มนวัตกรรมและระดับการพัฒนา ประกอบด้วย ระดับการพัฒนาของธุรกิจ และด้านนวัตกรรม



อย่างไรก็ดี เนื่องจากแต่ละด้านก็มีความเกี่ยวโยงกัน ทาง WEF จึงจัดกลุ่มประเทศเป็นสามกลุ่ม และให้น้ำหนักกับปัจจัยไม่เท่ากันในแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ก็จะให้น้ำหนักกลุ่มข้อกำหนดพื้นฐาน 60% กลุ่มเสริมประสิทธิภาพ 35% และกลุ่มนวัตกรรม 5% กลุ่มประเทศที่กำลังเสริมสร้างประสิทธิภาพก็จะให้น้ำหนักกลุ่มข้อกำหนดพื้นฐาน 40% กลุ่มเสริมประสิทธิภาพ 50% และกลุ่มนวัตกรรม 10% ในขณะที่กลุ่มประเทศนวัตกรรม จะให้น้ำหนักคะแนนในกลุ่มข้อกำหนดพื้นฐาน 20% กลุ่มเสริมสร้างประสิทธิภาพ 50% และกลุ่มนวัตกรรม 30% เพื่อมิให้เกิดความแตกต่างกันจนเกินไป



การกำหนดกลุ่มนี้ แยกตามรายได้ต่อหัวของประชากรค่ะ โดยประเทศที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์ต่อปี ถือเป็นประเทศในกลุ่มที่ 1 คือกลุ่มกำลังพัฒนา ไทยเราอยู่กลุ่มที่ 2 ร่วมกันกับมาเลเซีย และจีน คือ มีรายได้ต่อหัวระหว่าง 3,000 ถึง 9,000 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ อยู่กลุ่มที่ 3 คือ มีรายได้ต่อหัวมากกว่า 17,000 ดอลลาร์ต่อปี



จะเห็นว่าการแบ่งกลุ่มจะมีช่องว่างของรายได้ ทั้งนี้ ในระหว่างแต่ละกลุ่ม เขาจัดให้มีกลุ่มที่อยู่ตรงกลาง เรียกว่าอยู่ระหว่างกลุ่มที่ 1 กับ 2 เช่นอินโดนีเซียจะอยู่ในกลุ่มนี้ และกลุ่มที่อยู่ระหว่างกลุ่มที่ 2 กับ 3 เช่นประเทศเม็กซิโก และรัสเซีย



ในการจัดอันดับรวม ไทยเราได้อันดับที่ 36 โดยมีคะแนนรวม 4.56 เมื่อแยกคะแนนของด้านต่างๆ แล้วพบว่า กลุ่มข้อกำหนดพื้นฐานเราได้ 4.86 คะแนน คิดเป็นอันดับที่ 43 ส่วนกลุ่มเสริมประสิทธิภาพ ไทยเราได้ 4.46 คะแนน คิดเป็นอันดับที่ 40 และกลุ่มนวัตกรรม เราได้ 3.83 คะแนน มาเป็นอันดับที่ 47 รายละเอียดตามตารางด้านล่างค่ะ



ปัจจัย คะแนน อันดับ
กลุ่มข้อกำหนดพื้นฐาน 4.38 43
- สภาพแวดล้อมด้านสถาบัน 3.98 60
- ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 4.57 40
- ด้านนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาค 5.37 22
- ด้านสุขภาพและการศึกษาพื้นฐาน 5.52 61
กลุ่มเสริมประสิทธิภาพ 4.46 40
- การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม 4.27 54
- ความมีประสิทธิภาพของตลาดสินค้า 4.46 44
- ประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน 4.83 25
- ระดับการพัฒนาของตลาดการเงิน 4.49 49
- ความพร้อมของเทคโนโลยี 3.71 63
- ขนาดของตลาด (ตลาดใหญ่ทำให้ธุรกิจมีโอกาสขยายได้) 5.01 21
กลุ่มนวัตกรรมและระดับการพัฒนา 3.83 47
- ระดับการพัฒนาของธุรกิจ 4.37 43
- นวัตกรรม 3.29 57

ถ้านำคะแนนมาวิเคราะห์ก็จะเห็นว่า สิ่งที่เราได้อันดับดี มีเพียงขนาดของตลาด (ใหญ่) นโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาค และประสิทธิภาพของตลาดแรงงานเท่านั้น นอกนั้นยังถือว่าไม่ดีเท่าที่ควร



ขอแยกสิ่งที่เราต้องรีบปรับปรุง เป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกใช้เงิน ก็จะสามารถทำให้ดีขึ้น คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังที่มีผู้วิจารณ์ในการสัมมนาของยูโรมันนี่ ว่า ไทยแทบจะไม่ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นมากนักในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศอื่นๆ จะแซงไทยแล้ว หวังว่าเงินที่จะพัฒนาประเทศจากโครงการไทยเข้มแข็งระยะที่สองจะช่วยลบคำปรามาสนี้นะคะ



กลุ่มที่สอง ต้องใช้ทั้งเงินทั้งเวลา เพราะการจะทำให้เกิดผลจะต้องใช้เวลา คือ ด้านสุขภาพและการศึกษาพื้นฐาน การศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม ความพร้อมของเทคโนโลยี และนวัตกรรม



และ กลุ่มสุดท้าย ต้องอาศัยเงินและการจัดการ คือ สภาพแวดล้อมด้านสถาบัน (โครงสร้างกฎหมายและการบริหารจัดการ) ความมีประสิทธิภาพของตลาดสินค้า ระดับการพัฒนาของตลาดการเงิน และระดับการพัฒนาของธุรกิจ



ในฐานะคนไทยที่อยากเห็นประเทศของเรากลับมาเป็นที่กล่าวขวัญของประชาคมโลกในทางที่ดี เป็นแบบอย่างที่ประเทศอื่นอยากดำเนินรอยตาม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 20 ปีที่แล้ว ขอเรียกร้องให้รัฐบาล นักการเมือง ข้าราชการ และคนไทยทุกคน มาช่วยกัน ร่วมมือกัน เพื่อให้เราเป็นประเทศที่สามารถเจริญและเติบโตได้ตามศักยภาพที่แท้จริงของเราเอง ไม่ใช่ต้องมาสะดุดขาตัวเองเพราะการเมืองหรือค่านิยมที่ผิดๆ



"หากไทยไม่ช่วยไทย ก็แล้วใครจะมาช่วยเรา"

ทุนวัฒนธรรม โดย ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์

By drnakamon






ช่วงนี้รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ รวมไปถึงสถาบันการศึกษาเกือบจะทุกระดับชั้นได้รับกระแสทุนวัฒนธรรม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ มากมาย มีข้อเขียนของ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ มีนัยสอดคล้องและเป็นสิ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง



ข้อเขียนที่เน้นทุนวัฒนธรรมของอาจารย์น่าสนใจมาก มีเนื้อหาบางส่วนที่น่าศึกษา ดังนี้



.......วัฒนธรรมในระบบทุนนิยมโลก ว่าด้วยบทสังเคราะห์ทุนวัฒนธรรม วัฒนธรรมโลก สื่อมวลชน อาหารการกิน แฟชั่นและสันทนาการ ภาพยนตร์และดนตรี



ทุนวัฒนธรรม โดย ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ แนวความคิดของผู้เขียนว่าด้วยทุนวัฒนธรรม ซึ่งเริ่มก่อเกิดในปี 2536 ภายหลังจากที่ศึกษาและสังเกตพัฒนาการของระบบทุนนิยมโลกและระบบเศรษฐกิจไทย



โดยที่ผู้เขียนเชื่อว่า กลุ่มทุนวัฒนธรรม เป็นกลุ่มที่กำลังถีบตัวขึ้นมามีความสำคัญในสังคมโลกยุคปัจจุบัน และจะยังคงทรงอิทธิพลต่อไปในอนาคต อิทธิพลของรูดอล์ฟ ฮิลเฟอร์ดิง (Rudolp Hilferding, 1877-1941) มีต่อแนวความคิดเรื่องนี้อย่างปราศจากข้อกังขาหากปราศจาก Finance Capital (1910) การนำเสนอและพัฒนาแนวความคิดว่าด้วย ทุนวัฒนธรรม ยากที่จะเป็นไปได้



"...ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตตามปกติของมนุษย์ กระบวนการยอมรับแบบแผนการดำรงชีวิตและพฤติกรรมใดๆจนเป็นวิถีแห่งชีวิต จึงเป็นปมเงื่อนสำคัญในการทำความเข้าใจกระบวนการแปรวัฒนธรรมเป็นสินค้า..." (น. 18)



เราอาจจะเข้าใจเรื่องการพนันกับสินค้าวัฒนธรรมอย่างฟุตบอลมากขึ้นจากหนังสือเล่มน้อยๆนี้บ้างไม่มากก็น้อย



หนังสือเล่มนี้ให้คำอธิบายเชิงเศรษฐศาสตร์ถึงที่มาที่ไปด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตในระบบทุนนิยม การพัฒนาทุนในโลก และการเปลี่ยนไปเป็นทุนวัฒนธรรม รวมทั้งลักษณะของทุนวัฒนธรรม



อ่านแล้วฟังยากแท้



เอาเป็นว่าเรามีพัฒนการจากการเกษตร มาเป็นอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า แล้วตอนนี้ทุนนิยมเริ่มหาทางออกใหม่แล้ว ด้วยการเอาวัฒนธรรมเข้ามาแฝงไว้ในตัวสินค้า



ตัวอย่างง่ายๆคือเรื่องเพลง เรื่องภาพยนตร์ เรื่องอาหารการกิน (ร้านอาหารญี่ปุ่น เวียดนาม ร้านส้มตำ ฯลฯ) การแต่งกาย กีฬา (Football) ศิลปะ วรรณกรรม (Lord of the Rings, Harry Potter)



อุตสาหกรรมสินค้าสารพัดอย่างได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุตสาหกรรมผลิตเครื่องรับและอุปกรณ์ทีวี วิทยุ รวมทั้งคอมพิวเตอร์ ยังมีเรื่องอุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า รวมทั้งเกม คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ



สรุปง่ายๆว่า ทุนวัฒนธรรมมีลักษณะสำคัญคือ



มีนัยทางวัฒนธรรม
เป็นทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ
มีการผูกขาดในระดับหนึ่ง
สร้างความเข้มแข็ง ด้วยการควบและครอบกิจการ
ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R & D)
พยายามสร้างอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าตลอดเวลา
บริษัทข้ามชาติมักจะร่วมทุนกับกลุ่มทุนท้องถิ่น



นอกจากนี้ตอนท้ายของหนังสือก็ได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของการค้า เทคโนโลยี และทีวีที่ทำให้เจ้าสินค้าวัฒนธรรมแพร่หลายไปทั่วโลกได้ รวมท้งโครงสร้างการผลิตที่เปลี่ยนจากโรงงานมาเป็นอุตสาหกรรมบริการกันมากขึ้นทุกวันๆ



ปาฐกถานี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า ทุนหลัก (Dominant Capital) ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตในสังคมเศรษฐกิจโลก เมื่อสังคมมนุษย์ผ่านพ้นช่วงแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) และสังคมเศรษฐกิจแปรจากระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรม (Agri-cultural Economy) มาเป็นระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(Industrial Economy) ทุนอุตสาหกรรม (Industrial Capital) ย่อมถีบตัวขึ้นมาเป็นทุนหลักของระบบเศรษฐกิจ



ด้วยตรรกะในทำนองเดียวกัน เมื่อสังคมเศรษฐกิจแปรเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจบริการ (Service Economy) ทุนบริการ(Service Capital) ก็จะกลายเป็นทุนหลักแทนที่ทุนอุตสาห-กรรม



แต่โดยเหตุที่บริการประเภทต่างๆ มีการเติบโตกล้าแข็งแตกต่างกันอย่างมาก และหน่อทุนบริการบางประเภทยังไม่ปรากฏโฉมให้เห็น



ด้วยเหตุดังนี้เอง นักวิเคราะห์สังคมบางท่านจึงมองเห็นแต่การเติบโตของบริการทางการเงินการธนาคาร และมองเห็นแต่การเติบใหญ่ของทุนการเงิน (Finance Capital) ซึ่งเข้าไปแทนที่ทุนอุตสาหกรรม



ปาฐกถานี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า ทุนบริการกำลังถีบตัวขึ้นมาเป็นทุนหลักในสังคมเศรษฐกิจโลกแทนที่ทุนอุตสาหกรรม แต่ในระยะเปลี่ยนผ่านที่หน่อทุนบริการยังไม่เติบใหญ่กล้าแข็ง ทุนวัฒนธรรม (Cultural Cap-ital) เป็นทุนหลักในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ โดยที่ทุนวัฒนธรรมมีขาหยั่งทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ


ในการที่จะเข้าใจการเติบโตของทุนวัฒนธรรม จำเป็นต้องเข้าใจเบื้องต้นเสียก่อนว่าทุนวัฒนธรรมคืออะไร ทุนวัฒนธรรมจะเติบใหญ่ได้ก็ต้องมีอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรม (Cultural Products)



ในที่นี้สินค้าวัฒนธรรม หมายถึงสินค้าและบริการที่มีวัฒนธรรมฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าหรือบริการนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝังตัวของวัฒน-ธรรม (Cultural Embodiment) ในตัวสินค้าหรือบริการ



หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง วัฒนธรรมที่ฝังอยู่ในตัวสินค้าหรือบริการ (Embodied Culture) จึงเป็นปมเงื่อนสำคัญในการวิเคราะห์



อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์การเติบโตของทุนวัฒนธรรมมิอาจแยกต่างหากจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและพัฒนาการของทุนหลักในระบบทุนนิยมโลก l การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตในระบบทุนนิยมโลก l การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในสังคมโลกนั้นมีอยู่ตลอดเวลา



แต่ไม่มีช่วงใดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่สังคมเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเทียบเท่าช่วงเวลาในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมานี้



ณ บัดนี้ ระบบเศรษฐกิจโลกมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะแต่โครงสร้างทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญด้วย เมื่ออังกฤษประสบความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก (First Industrial Revolution)


ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 โครงสร้างทางเศรษฐกิจของอังกฤษเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรม (Agricul-tural Economy) มาเป็นระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Industrial Economy) การวิ่งนำหน้าของอังกฤษในการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อให้เกิดกระบวนการวิ่งไล่กวดทางเศรษฐกิจ (Catching-up Process)



ประเทศต่างๆ พยายามวิ่งไล่กวดอังกฤษในการพัฒนาอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดประเทศอุตสาหกรรมรุ่นที่สอง รุ่นที่สาม และรุ่นต่อๆ มา



การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง (SecondIndustrial Revolution) ซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเพียงแต่เร่งเร้ากระบวนการวิ่งไล่กวดทางเศรษฐกิจให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งก็คือ มีผลในการเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจและศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ



โดยข้ามฟากมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นเอง นับตั้งแต่เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกจวบจนสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือทยอยกันเปลี่ยนโฉมหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม



การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตดังกล่าวนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบระหว่างประเทศ (International Comparative Advantage) เมื่อความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบแปรเปลี่ยนไป โครงสร้างการผลิตย่อมต้องปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ


ด้วยเหตุที่การเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเป็นไปอย่างเชื่องช้า โครงสร้างการผลิตจึงเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าตามไปด้วย ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการผลิต (Factor Endowment)



และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาสัมพัทธ์ของปัจจัยการผลิต ในประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเก่า (Old Industrial Countries = OICs) โครงสร้างการผลิตมักจะแปรเปลี่ยนจากการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labour-intensive Production) ไปสู่การผลิตที่ใช้เครื่องจักรเข้มข้น (Capital-intensive Production)



ตามมาด้วยการผลิตที่ใช้สารสนเทศเข้มข้น (Information-intensive Production) ในยุคสมัยที่สังคมเศรษฐกิจยังมีแรงงานราคาถูก การผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นจะครอบงำโครงสร้างการผลิต เมื่อแรงงานราคาถูกหมดไป



การเปลี่ยนแปลงราคาสัมพัทธ์ของปัจจัยการผลิตดังกล่าวนี้ย่อมทำให้มีการใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงาน จนการผลิตที่ใช้เครื่องจักรเข้มข้นกลายเป็นการผลิตหลักของระบบเศรษฐกิจ ในท่ามกลางการวิ่งไล่กวดทางเศรษฐกิจในสังคมโลกในช่วงเวลากว่าสองศตวรรษที่ผ่านมานี้



ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อกระบวนการวิ่งไล่กวด ประเทศที่สามารถหาประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีย่อมเร่งความเร็วในการวิ่งไล่กวดได้


สารเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสารสนเทศมีความสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น หากยังเปลี่ยนแปลงแบบแผนพื้นฐานในการสื่อสารของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ บทบาทและอิทธิพลของสื่อมวลชนที่มีต่อสังคมมนุษย์ ทั้งในการถ่ายทอดกระบวนทัศน์ทางความคิด แบบแผนการดำรงชีวิต ระบบคุณค่าและบรรทัดฐานทางจริยธรรมเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นอันมาก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์สมัยใหม่ก็มีผลกระทบต่อแบบแผนการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทุกวันนี้ผู้คนพากันกล่าวขวัญถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Revolution) และการปฏิวัติเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology Revolution) หลงลืมและมิได้นึกถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์สมัยใหม่ (New Materials Techno-logy Revolution) ในช่วงเวลา 5 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ วัสดุภัณฑศาสตร์ (Materials Science) รุดหน้าไปเป็นอันมาก วัสดุภัณฑ์สมัยใหม่ทีละชนิดสองชนิดเข้ามามีบทบาทในแบบแผนการดำรงชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก (Plastics) เซรามิก (Ceramics) ซีเมนต์สมัยใหม่ที่เรียกว่าMDF Cement (Macro-defect-free Cement) โลหะผสม (Metal Alloys) กาวพิเศษ (Superglues) เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) และใยแก้ว (Fiber Optics) วัสดุภัณฑ์สมัยใหม่เหล่านี้เข้ามาแทนที่วัสดุภัณฑ์ดั้งเดิม และมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิตและสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ทั้งในครัวเรือน สถานที่ทำงาน ชุมชน และบ้านเมือง


ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.matichonbook.com/mail.php?send=2&id=470426104200





ข้อมูลเกี่ยวข้อง.. ทุนวัฒนธรรม-เล่นแร่แปร /สยามรัฐรายวัน.



นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังเดินหน้าปฏิบัติการโครงการไทยเข้มแข็งงบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ปี 2553–2555 มีเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy ด้วยเม็ดเงิน 20,000 ล้านบาท โดยมีกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) รับงบส่งเสริมอุตสาหกรรมศิลปวัฒนธรรม 30 % หรือ 6,000 ล้านบาท


นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย(6ก.ย.) ตอนหนึ่ง “คือการใช้ความ คิด ใช้ภูมิปัญญามีอยู่ต่อยอดศิลปวัฒนธรรมบ้าง ทำในส่วนของอุตสาหกรรมบันเทิงบ้าง ทำในเรื่องของการออก แบบผลิตภัณฑ์มาเป็นอุตสาหกรรม และในส่วนงานวิจัย งานบริการอื่นๆ สามารถเพิ่มมูลค่าการผลิตภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าบริการ จะเป็นภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม จะเป็นการท่องเที่ยว หรืออะไรก็แล้วแต่เพิ่มมูลค่าผ่านกระบวนการของความคิดสร้างสรรค์ ในส่วนรัฐบาลจะปรับปรุงกลไก องค์กรต่างๆ เพื่อจะเอื้อต่อการบริหารเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้ครบวงจร มีบูรณาการ ความเป็นเอกภาพ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น”



พลิกไปบทบาทวธ. ที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(สวช.) จัดประชุมสัมมนา “จากทุนทางวัฒนธรรม...สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (4ก.ย.) มีศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ผู้ประ กอบการด้านศิลปวัฒนธรรมเข้าร่วม 300 กว่าคน



ธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า “วธ.เสมือนต้นน้ำขับเคลื่อนงานด้านศิลปวัฒนธรรม โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาให้การทำงานเป็นไปอย่างมีระบบ”



ธีระ ให้ความเห็นเพิ่ม จะนำศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน1,300 กว่าแห่งทั่วประเทศ ลงบนแผนที่ทางวัฒนธรรมของระบบสารสนเทศเนคเทค กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี(วท.) เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนได้ติดต่อกับเจ้าของทุนทางปัญญาโดยตรงในแต่ละท้องถิ่น หรือจะเป็นในรูปแบบการเสนอขอซื้อผลงานก็ย่อมได้ ทั้งจะให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทำหน้าที่รวบรวมทุนทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ เพื่อประสานข้อมูลไปยังกระทรวงพาณิชย์ ในการจดสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย



ในเนื้องานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยังพ่วง โครงการเมืองสร้างสรรค์ หรือ ครีเอทีฟ ซิตี้ (Creative City) ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเบื้องต้นจะมีการแบ่งโซนพื้นที่รับผิดชอบตามแต่ละจังหวัด ให้แต่ละกระทรวงดำเนินการ



นายธีระ กล่าวว่า “ในส่วนของวธ.นั้น คาดว่าจะได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเกาะรัตนโกสินทร์ และอุทยานประวัติศาสตร์ที่กรมศิลปากรดูแลอยู่”



แม้จะยังไม่มีบทสรุปชัดเจนของโครงการดังกล่าวที่วธ.จะขับเคลื่อน แต่ในมุมมอง ธานินทร์ ผะเอม ที่ปรึกษานโยบายและแผนงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ให้มุม มองอีกด้านหนึ่ง “การนำทุนทางวัฒนธรรมมาใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ของใหม่ รัฐบาลที่ผ่านมาก็ทำกันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีเจ้าภาพชัดเจนเหมือนครั้งนี้ จะมีการตั้งองค์กรขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อการลงทุนนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นจะได้เข้าหาองค์กรนั้นถูก”



ธานินทร์ ผะเอม สะท้อน “ที่ผ่านมาผู้ประกอบการบ้านเราขาดการต่อยอด เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุน ในขณะที่นักลงทุนข้างนอกเข้ามาลงทุนกลับได้รับการสนับสนุน” และเสริมภาพอุปนิสัยคนไทย “เราเองพอขายอะไร ก็มักจะพอใจในสิ่งนั้น ดูอย่างอาหารไทยโด่งดังในต่างประเทศ แต่กลับเพิ่มมูลค่าได้น้อย อย่างไรก็ดีมีการปรับตัวมากขึ้น อย่างปลาร้าแห้ง มีการบรรจุผลิตภัณฑ์ในรูปสากล”



อีกเช่นกันในความเป็นสินค้าไทย คนไทยด้วยกันไม่ค่อยนิยมแบรนด์ไทย เพราะดูน่าเชื่อถือน้อย แค่เสื้อผ้าที่เราใส่กัน เส้นใยฝ้ายทำจากไทย แต่ต้องติดแบรนด์เนมฝรั่งจึงจะน่าเชื่อถือ ถึงอย่างนั้นก็ตามหลังๆ มานี่ผู้ผลิตเริ่มจะกล้าใส่แบรนด์เนมไทยมากขึ้น ดังนี้แล้วรัฐบาลต้องสนับสนุนอย่างจริงจัง เพราะเป็นฝีมือสร้างสรรค์ของคนไทยระดับกลางและชุมชน ส่วนบริษัทมหาชนนั้นไม่ต้องห่วง เขายืนได้อยู่แล้ว



ธานินทร์ ย้ำ “สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำมาค้าขาย หรือแม้แต่การบริการก็ตาม คือเรื่องความซื่อ สัตย์ต่อลูกค้า ไม่ใช่พอเริ่มต้นก็คิดจะโกงกันแล้ว อย่างนี้แล้วไม่ว่าใครก็เสียความรู้สึกทั้งนั้น”



แน่ล่ะ ธรรมชาติของผู้ประกอบการก็ย่อมจะวิตกโครงการของรัฐบาล เพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยน แปลงทางการเมือง โครงการนั้นก็มักจะล่มหรือถูกทอดทิ้งตามไปด้วย



ธานินทร์ ให้แง่คิด “ผมว่านี่อันตราย” และว่า “คนที่มีพลังและเป็นกระบอกเสียงผ่านสื่อได้ ก็คือศิลปิน เพราะท่านเหล่านี้พูดอะไรขึ้นมาแล้ว รัฐบาลเป็นต้องเจ็บทุกที ดังนั้นแล้วอยากให้ผู้ผลิตงานด้านศิลปวัฒนธรรมเกาะกลุ่มกันเป็นพลัง รัฐบาลไหนจะกล้าปฏิเสธ”



ธานินทร์ ทิ้งท้าย “จริงๆ เราไม่ห่วงเสถียรภาพของรัฐบาล แล้วโครงการนี้มันก็อยู่ในกระแสสังคม ซึ่งทว่าไปใครจะมาเล่นแปรธาตุก็คงจะทำลำบากด้วย เพราะประชาชนจับตามองเหมือนกรณีโครงการอื่นๆ ก่อนหน้านี้”

"ไทย ศูนย์กลางอาเซียน กับทิศทางการขับเคลื่อนด้วยทุนวัฒนธรรม-เศรษฐกิจสร้างสรรค์"

By drnakamon





น่าจะถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียน ได้รับตำแหน่งประธานและเลขาธิการอาเซียนในคราวเดียวกันในการจัดประชุมอาเซียนซัมมิท หัวหิน-ชะอำ ที่เพิ่งพ้นไป (27 ก.พ.-1 มี.ค.2552)



แม้ทั่วโลกจะคอยฟังว่ากลุ่มอาเซียนจะมีไม้เด็ดอะไรที่จะเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาของโลกโดยเฉพาะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ในภูมิภาคอาเซียนเอง



ดังนั้น แถลงการณ์ร่วมอาเซียนภายใต้ชื่อปฏิญญาอาเซียน หัวหิน-ชะอำ จึงน่าจะเป็นการรอคอยของนักวิเคราะห์ทั่วโลกเสียมากกว่า



แม้จะรู้ว่าอาเซียนซัมมิทเป็นเรื่องของความพยายามเปิดโต๊ะลงนามข้อตกลงเปิดการค้าเสรี (Free Trade Area) หรือเอฟทีเอ ระหว่างกัน ของบรรดาผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ อย่างเป็นด้านหลักก็ตาม



เป็นที่ทราบกันว่า การประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยต้องเร่งลงนามข้อตกลงกรอบการค้าทั้ง 4 กรอบ 14 ฉบับข้อตกลง



ทั้งกรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (AANZFTA) กรอบข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน-จีน และกรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี



โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังโงหัวไม่ขึ้น และนักวิเคราะห์สายเศรษฐกิจหลายสำนักพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยตัวเลขน่าเป็นห่วง ถึงขั้นไทยอาจเจอกับตัวเลขติดลบถึง 4%



ในขณะที่การประมาณการของ ธปท.ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยในปี 2552 จะขยายตัวอยู่ที่ระหว่าง 0-2 เปอร์เซ็นต์ และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส โดย มูดี้ส์ อีโคโนมี ดอต คอม สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก



อเลสแตร์ ชาน นักเศรษฐศาสตร์ประจำสำนักงานสาขาซิดนีย์ ออสเตรเลีย ออกบทวิเคราะห์ขยี้ไทยซ้ำว่า ตัวเลขจีดีพีของไตรมาสที่ 4 ของประเทศไทยกำลังวิ่งเข้าหาความเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุดในเอเชีย



แม้ว่านายกฯ ของประเทศไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะประธานอาเซียนจะป่าวประกาศเป้าหมายของอาเซียน



ภายใน พ.ศ.2558 ประเทศ 10 ชาติสมาชิกอาเซียนจะหลอมรวมกันกลายเป็นประชาคมอาเซียนเปลี่ยนบทบาทของสมาคมอาเซียนให้เป็นของประชาชนโดยประชาชนเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวอาเซียนทุกคน



พูดอย่างง่ายก็คืออีก 6 ปีจากนี้ไป ประชากรของ 10 ประเทศอาเซียน 570 ล้านคน จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ประชาคมอาเซียนจะมีชีวิตอย่างสุขสบาย



ทั้งแง่ของการเป็นประชาชนคนไทย การเป็นประชาชนคนอาเซียน และการเป็นประชาชนพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ



อาเซียนจะเป็นเอกภาพ เป็นดินแดนแห่งความเสมอภาค เป็นดินแดนที่ชาวอาเซียนซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมจะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนและกลมเกลียว เป็นการรวมพลังของชาวอาเซียนที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง



ฟังดู แม้จะมองว่าเป็นวาทกรรมที่สวยหรูอยู่บ้างก็ตาม



แต่ก่อนที่จะไปถึงความหวังอันอีกยาวไกล ที่อาเซียน 10 ประเทศ 570 ล้านคนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว



ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์ ช่วยทำให้คนไทย 63 ล้านคน ที่ยังแตกแยกกันเป็นสีต่างๆ ในประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวได้ด้วยก็น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดี



เพราะถ้าคนชาติเดียวกันยังหลอมรวมกันไม่ได้ จะให้ 10 ชาติอาเซียน 570 ล้านคนหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวก็คงไม่ง่าย



การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 10 ประเทศ แม้เชิงสัญลักษณ์ของการประชุมจะผ่านไปแล้ว โดยทิ้งแถลงการณ์ร่วมที่เรียกร้องให้ทั่วโลกร่วมมือกัน เพื่อปฏิรูประบบสถาบันการเงิน และต่อสู้กับปัญหาลัทธิปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าเอาไว้ให้อ่านเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ



ข้อนี้ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าอาเซียนยังเป็นกลุ่มประเทศที่ไร้เขี้ยวเล็บแก้วิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคเช่นเดิม



เริ่มจาก นายเดวิด โคเฮน นักวิเคราะห์และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคอาเซียน มองว่าจากสถานการณ์ยุโรปและสหรัฐซึ่งเป็นตลาดหลักของอาเซียนลดการบริโภคสินค้าของกลุ่ม



ทำให้กลุ่มอาเซียนไร้อำนาจมากขึ้นที่จะคุ้มครองแรงงานนับล้านตำแหน่งที่เสี่ยงจะตกงาน โดยเขาไม่เห็นว่าแถลงการณ์ของกลุ่มอาเซียนจะสามารถสร้างความแตกต่างอย่างฉับพลันได้จริง



เนื่องจากปัญหาของกลุ่มอาเซียนที่มีอยู่นั้นก็เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่แล้ว ขณะที่นักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกิ้น อย่างนายบริเจ็ท เวลท์ มีความเห็นคล้ายๆ กัน ว่ากลุ่มอาเซียนยังดูเหมือนเป็นกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ถูกปฏิเสธและมาตรการของอาเซียนที่ออกมาขาดสีสันและจะไร้ประสิทธิภาพ



แม้ว่าอาเซียนจะแสดงให้เห็นว่าเข้าใจต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจโลกต่อภูมิภาคนี้ก็ตาม และมองว่ามาตรการสำคัญๆ อาทิ การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยังคงเป็นเพียงการตกลงเชิงสัญลักษณ์ ขาดเนื้อหาสาระที่เป็นประเด็นหลักๆ



อีกทั้งยังมองว่าผู้นำชาติอาเซียนทั้งหลายยังคงเก็บความเป็นชาตินิยมและการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของชาติตนเองไว้อย่างลับๆ และไม่ได้เน้นหาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาในภูมิภาคนี้อย่างจริงจังเท่าที่ควร



ในมุมของวอชิงตัน โพสต์ ก็เช่นกัน คือมองว่าโลกยังไม่เห็นมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนจากการประชุมอาเซียน โดยมองว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา



การเติบโตของภูมิภาคนี้ มาจากการส่งออกเป็นด้านหลัก ทุกวันนี้ชาติสมาชิกสมาคมอาเซียต่างก็ได้รับผลประทบหนัก จากความต้องการที่ลดลงในตลาดใหญ่ๆ อย่างในสหรัฐและกลุ่มสหภาพยุโรป ทั้งสิงคโปร์ และไทย ต่างก็ได้รับสัญญาณของการหดตัวของจีดีพี มาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว



คาดว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายได้ เมื่อพิจารณาดัชนีการบริโภคเดือน ม.ค.-ก.พ. ซึ่งลดลงอย่างน่าใจหาย ค่าเงินบาทแข็ง ตัวเลขการส่งออก การบริโภค การท่องเที่ยว การบริการจะติดลบ



หากสถานการณ์ยังคงเป็นอย่างนี้ไปอีกระยะ คนอาจเกิดความตระหนก คนไม่กล้าใช้เงิน



ขณะที่มาของรายได้รัฐยังไม่ชัดเจน ตลาดทุนจะมีผลกระทบเป็นสองเท่า ลดต้นทุน ลดการผลิต ลดความเสี่ยงอันเนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว และการเมืองร้อน ประเทศอาจอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย



ในที่สุดแล้ว อาเซียนซัมมิท อาจถูกมองมุมร้ายว่าเป็นเพียงการประชุมเตรียมข้อมูลเสนอขอกู้เงินช่วยเหลือในที่ประชุมของจี 20 ที่ลอนดอนในเดือน เม.ย.



นับเป็นการรอปาฏิหาริย์ให้กลุ่มจี 20 ชุบชีวิตโดยแท้ หากเป็นเช่นนั้นจริง อาเซียนก็อาจจะเป็นแค่สิ่งจับต้องไม่ได้อีกเช่นเคย



แม้ว่าจะอยู่ในช่วงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง โดยใช้ยุทธศาสตร์ทุนวัฒนธรรมมาเป็นแกนกลางเพื่อใช้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งอย่างที่รัฐบาลกำลังเหยียบคันเร่งเต็มที่อยู่ขณะนี้ก็ตาม

"เศรษฐกิจสร้างสรรค์…แล้วไงต่อ"

By drnakamon
วิริยะ สว่างโชติ/ ข้อเขียนเรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์…แล้วไงต่อ





ช่วงไม่กี่วัน/เดือนที่ผ่านมา “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” (creative economy) ได้กลายเป็นคำพูดที่ติดปากของหลายๆ คนไม่ว่านักออกแบบ นักประดิษฐ์คิดค้น นักธุรกิจ ตลอดจนถึงรัฐมนตรี(ช่วย)หลายท่านและรวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากเราตามข่าวเศรษฐกิจในหน้าหนังสือพิมพ์ เราจะพบว่ารัฐบาลปัจจุบันใช้งบประมาณในหลายๆ โครงการ (เริ่ม) ที่ดูเป็นการผัน (ผลาญ???) งบประมาณไปใช้กับวาทกรรมนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หลายโครงการก็น่าจะส่งผลได้อย่างน่าพอใจ (หวังเช่นนั้นจริงๆ)



แนวความคิดนี้ยังถูกโยงไปเป็นนโยบายในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา TCDC ได้จัดเสวนาที่ตั้งคำถามทันยุคทันสมัยว่า “Creative Economy จะเป็น ‘ทางรอด…ทางเลือก’ ให้กับเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่ ?” แต่พอแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มส่อแววดีขึ้น แนวคิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ก็ผันไปเป็นความฝันของ “การสร้างมูลค่า” ทางเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยคำว่า “Creative Thailand”



ประเด็นที่เราน่าจะต้องถามคือ ทำไมต้องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ? หากมันเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (จริง!!!)….แล้วไง (ต่อ)?


ที่จริงการเกิดขึ้นของนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นนโยบายด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานทางศิลปะ (Art-Related Industries) เกิดจากการปรับตัวครั้งใหญ่ของนโยบายเศรษฐกิจโลกช่วงทศวรรษ 1990 โดยเริ่มแนวคิดในรัฐบาลของออสเตรเลียและเกาหลี (แต่รัฐบาลที่ริเริ่มแนวคิดนี้ในทั้งสองประเทศแพ้การเลือกตั้งเลยไม่ได้มีการประกาศใช้)



นโยบายที่ว่านี้มาเกิดเป็นรูปเป็นร่างจริงในอังกฤษ สมัยที่โทนี่ แบลร์ นำพรรคแรงงาน ด้วยคำขวัญ “แรงงานใหม่” หรือ “New Labour” (กลับมาเป็นรัฐบาลหลังจากที่พรรคอนุรักษ์นิยมครองอำนาจมาเกือบ 20 ปี) เมื่อ ปี ค.ศ. 1997 รัฐบาลของเขาได้มีการประกาศแผนงานที่เรียกว่า “Creative Industries Task Force 1998” (CITF 1998) ขึ้นในปี ค.ศ.1998



โดยหวังว่าจะเป็นแนวทางของการสร้างเสริมศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษให้กลายเป็นประเทศชั้นนำใน “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์” หรือ “Creative Industries”



สำหรับในแผนงานที่ว่านี้นิยามอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไว้ว่า “กิจกรรมต่างๆ อันมีที่มาจากการสร้างสรรค์ การพัฒนาทักษะและความสามารถ อันมีผลต่อการสร้างมูลค่าและการสร้างงาน รวมทั้งคำนึงถึงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ที่สร้างผลงาน” (CITF 1998)



ในแผนงานนี้ได้จัดแบ่งประเภทงานอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไว้ 16 ประเภท ดังนี้ โฆษณา, งานสถาปัตยกรรม, ศิลปะ, ตลาดของเก่า, หัตถกรรม, การออกแบบ, การออกแบบแฟชั่น, ภาพยนตร์, ซอฟต์แวร์บันเทิง, ดนตรี, ทีวี, วิทยุ, ศิลปะการแสดง, สิ่งพิมพ์, และการออกแบบซอฟต์แวร์




จะว่าไป “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ว่าจากงานศิลปะ การออกแบบ อุตสาหกรรมบันเทิง หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ฯลฯ กับสร้างมูลค่าเศรษฐกิจไม่ใช่เพิ่งเกิด ในแง่การผลิต การบริโภค สินค้าและบริการโดยตัวของมันเองมีการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านปัจจัยด้านความคิดสร้างสรรค์อยู่ทั้งนั้น



แต่ที่ความสำคัญของมันมาเกิดขึ้นนั้นเพราะมันเพิ่งถูกเขียนในไวยากรณ์ของนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ ภาพชัดเจนตอนที่โทนี่ แบลร์ ประกาศใช้ Creative Industries Task Force 1998 ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ Department of Culture, Media and Sport (ที่ปรับยุบหน่วยงานมาจาก Department of National Heritage และรวมกับหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นใหม่) ขึ้นมารับผิดชอบดูและงานนี้โดยตรง (ร่วมกับหลายหน่วยของรัฐและเอกชน) ได้ทำให้ “ความคิดสร้างสรรค์” เป็นเรื่องจัดการได้ (โดยรัฐ) ไม่ใช่เป็นเรื่องของพรสวรรค์หรือทักษะฝึกฝนเท่านั้น



ในปัจจุบันหากจะคิดถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในยุคของแบลร์ ก็น่าจะคิดถึงวงดนตรีอัลเทอร์อย่าง Oasis และทีมฟุตบอลแมนยูไนเต็ดที่กลายเป็นภาพลักษณ์ของ “Cool Britannia”


ในอีกแง่มุมหนึ่งที่กล่าวถึงกันสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ก็คือ นโยบายเศรษฐกิจในแบบเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberal economic) โดยกระแสของเสรีนิยมใหม่ที่ว่านี้เกิดจากการปรับตัวของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและทุนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในยุคกลาง 1970 โดยรัฐและกลุ่มทุนหันมาให้ความร่วมมือกับการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ- เทคโนโลยี – วัฒนธรรม- ทรัพย์สินทางปัญญาของทุนนิยมแบบยุคหลังอุตสาหกรรม (post-industrial age)



โดยอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนไป ไม่เน้นการลงทุนในการผลิตขนาดใหญ่ เน้นเทคโนโลยี ไม่จำเป็นต้องมีระบบสายการผลิต ไม่จ้างแรงงานจำนวนมาก มูลค่าสามารถเกิดจากระบบลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นฐานของระบบเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม




เสรีนิยมใหม่ที่ว่านี้ได้สร้างเงื่อนไขใหม่ของระบบเศรษฐกิจโลกด้วย ทั้งนี้เราจะเห็นว่าเริ่มตั้งแต่ยุคของเรื่องภาษีศุลกากรระหว่างประเทศ (GATT) ยุค 1990 ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นองค์กรการค้าโลก (WTO) เราจะเห็นว่ารัฐในประเทศมหาอำนาจทุนนิยมและประเทศกำลังพัฒนา



ประเทศยากจน รับผลโดยตรง เช่นในหลายประเทศต่างๆ (รวมทั้งไทย) ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ เรื่องสิทธิบัตร การปกรองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ ประเด็นที่สำคัญที่ถูกกล่าวถึงมากก็คือทรัพย์ทางปัญญาในสินค้าอุปโภคบริโภค (ซึ่งรวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมบันเทิง) และสิทธิบัตรยา



เราจะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเริ่มในยุคที่รัฐต่างใช้นโยบายส่งเสริมที่รัฐและเอกชนร่วมกันจัดการระบบเศรษฐกิจ ไม่มีมือที่มองไม่เห็นแบบยุคเสรีนิยมเดิมอีกต่อไป



แต่การใช้นโยบาย ใช่ว่าจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพของความคิดสร้างสรรค์ของเสรีนิยมใหม่เสมอไป บางครั้งก็กลับเป็นตัวลดทอนเสียด้วยซ้ำ ดังตัวอย่างเช่น ในเวทีการประชุมแกตต์ที่กรุงบรัซเซล ประเทศเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1993 ได้เกิดข้อถกเถียงด้านสื่อวัฒนธรรมในระดับนโยบายเป็นครั้งแรก



โดยมีแกนนำที่มาจากสหภาพแรงงานผู้ผลิตภาพยนตร์ของยุโรปที่เห็นว่าภาพยนตร์ไม่ใช่เป็นเพียงสินค้า หากแต่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงภาษาและวัฒนธรรมที่สามารถสื่อข้ามพรมแดนกันได้ ดังนั้น กลุ่มสหภาพแรงงานผู้ผลิตที่ประกอบไปด้วย ผู้กำกับ นักแสดง คนเขียนบท คนในฝ่ายผลิต ฯลฯ จึงเห็นว่าควรจะพิจารณาเรื่องนี้ในด้านของนโยบายด้านสื่อสารวัฒนธรรมด้วย



มากกว่าที่จะมองว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ควรส่งเสริมให้มีการลงทุนเสรีและปกป้องวัฒนธรรมชาติ แม้ว่าข้อเสนอจะไม่มีผลต่อการประชุมเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ถือได้ว่านี่คือการผูกประเด็นที่ขัดแย้งกันอยู่ของสินค้าวัฒนธรรม การค้าเสรีและวิถีชีวิตเข้าด้วยกันเป็นครั้งแรกในเวทีการค้าในรอบของการประชุมแกตต์



ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงกลุ่มเคลื่อนไหวใหม่สุดของการขบวนการเคลื่อนทางสังคมรูปแบบใหม่ (the newest of new social movement) ที่ผู้เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มที่ประสานไปด้วยคนที่ทำงานอันเกี่ยวเนื่องกับศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์และงานอื่นที่เกี่ยวข้องในหลายๆ ส่วน



ที่ผ่านมาในแง่งานวิชาการด้านสังคมศาสตร์ เราจะเห็นว่าในโลกของประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกที่มีประสบการณ์ในแนวคิดและ/หรือมีการใช้นโยบายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากการส่งเสริมของรัฐมากว่าทศวรรษ ได้เกิดการถกเถียงถึงความแตกต่างในเรื่องของ “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจและ “คุณค่า” ทางสังคมของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ไม่ใช่แค่เน้นในเรื่องของมูลค่าเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเท่านั้น



หากต้องมองและเข้าใจเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในฐานะที่เป็นส่วนขับเคลื่อนในมิติสังคม-วัฒนธรรมและการเมืองด้วย หรือกล่าวในอีกแง่หนึ่งคือการให้ความสำคัญกับ “คุณค่า” ทางด้านจริยธรรมและคุณธรรม เชื่อมโยงทั้ง “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจและ “คุณค่า” ทางสังคมเข้าไว้ด้วยกัน หรือที่ อดัม อาร์วิดสัน (Adam Arvidsson) นักสังคมวิทยาชาวสวีเดนผู้ศึกษาเรื่องอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในยุโรปใช้คำว่าระบบเศรษฐกิจนี้ว่า “เศรษฐกิจจริยธรรม” (Ethical Economy)



ดังนั้น สิ่งสำคัญของความยั่งยืนในการผลิตและการบริโภคของเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นต้องเกิดจากสิ่งสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนแปลงจากฐานราก เกิดจากกลุ่มคนทำงานที่เป็น “immaterial labour” ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (หรือกระบวนการแรงงานภายใต้ความสัมพันธ์/กดทับของทุนและการผลิตความรู้ที่ คาร์ล มาร์กซ์เรียกว่า General Intellect) เข้ามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ฐานรากสังคมร่วมกัน



การให้โอกาส ความใจกว้าง การยอมรับและการส่งเสริมกันและกัน ฯ ลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เปรียบเสมือนกับ “ห่วงโซ่” ที่ช่วยปูทางไปสู่การผนึกกำลังของแรงงาน (สมอง) ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก นี่คือข้อคิดในมิติที่เปรียบเสมือนแรงโต้ตอบอย่างสร้างสรรค์ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์แบบเสรีนิยมใหม่


สำหรับประเทศไทยนั้น เราจะพบว่าปัจจุบันทั้งภาครัฐบาลและเอกชนได้ให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์หรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก



แม้ไม่มีนโยบายด้านอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมหรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ชัดเจน แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าการใช้นโยบายดังกล่าวเริ่มคล้ายๆ กับยุคของการพัฒนาไปสู่กระบวนการทันสมัย (Modernization) ที่เริ่มในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1



แม้จะยังไม่มีนโยบายของรัฐที่ชัดเจน เช่นจีน เกาหลีและสิงคโปร์ แต่รัฐบาลไทยก็ได้เริ่มดำเนินการสนับสนุนมาได้ระยะหนึ่ง หากนับตั้งแต่ยุคของรัฐบาลทักษิณ 1 ช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดแผนงานต่างๆ ที่กระจายอยู่ตามกระทรวงหรือหน่วยงานจัดตั้งใหม่ เช่น กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ



รวมทั้ง สำนักงานศิลปะร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในไทย ในขณะที่ในภาคเอกชนโดยเฉพาะด้านการศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนไม่ว่ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยรังสิต รวมทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบังฯ เริ่มปรับหลักสูตรระดับปริญญาตรีทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ นิเทศศาสตร์ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์
เราอาจไม่จำเป็นต้องเริ่มต่อต้านเรื่องนี้



แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ การศึกษาอย่างลึกซึ้งและรอบด้านอีกมากของแนวทางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยภายใต้บริบทโลก รวมถึงแนวทางการส่งเสริมการปฏิบัติการอย่างมีรูปธรรมที่ชัดเจนในแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมยุคหลังพัฒนาการนิยม (post-developmentalism context) แม้ว่าเราจะมีการประชุม เสวนา สัมมนา เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ



ปัจจุบันงานวิชาการทั้งในสายของบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ยังให้ความสนใจเรื่องนี้น้อย



ดังนั้น ความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงควรเป็นการมองในแง่ของกระบวนการ (สร้างสรรค์) สังคมในมิติต่างๆ และสิ่งสำคัญนโยบายของมันต้องเปิดให้มีการสนับสนุนและส่งเสริมให้มี “พื้นที่” ของ “การมีส่วนร่วม” ที่มากขึ้นจากทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน



ไม่ใช่เป็นนโยบายแบบเดิมๆ ที่เป็นแบบจากบนลงล่าง แบบที่กำลังเป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไปในอนาคต (ตามที่รัฐบาลปัจจุบันได้ว่าไว้)


*หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่อง “เศรษฐกิจจริยธรรมยุคหลังพัฒนาการนิยม” จากงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2552 จัดโดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

"คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา"

By danai

ชื่อบทความข้างต้นเป็นชื่อเดียวกับหนังสืออีกเล่มที่ผมชื่นชอบและมักหยิบมาอ่านเตือนสติอยู่บ่อยๆ เขียนโดย อาจารย์ ไชย ณ พล ผู้ที่ผมไม่เคยได้พบเป็นการส่วนตัว แต่ทันทีที่ได้อ่านเล่มนี้ ก็น้อมคารวะขอสมัครเป็นลูกศิษย์ ด้วยความลุ่มลึกในแก่นธรรม ในการถ่ายทอดผ่านตัวอักษร จึงขอนำบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับคอลัมน์ CEO Challenge มาฝากกัน
ระบบธุรกิจ



คนโง่ เรียกร้องการผูกขาด เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น สร้างความดักดานด้อยพัฒนา และพากันตกยุค



คนฉลาด เรียกร้องเสรี เพื่อแข่งขันกันอย่างเต็มที่ และกอดคอกันสู่หายนะ
คนเจ้าปัญญา เรียกร้องดุลยภาพ ที่ทุกระบบสัมพันธ์กันอย่างสมดุล และรุ่งเรืองอย่างพอดี



การบริหารธุรกิจ
คนโง่ ทำธุรกิจด้วยความอยากได้ ผู้คนจึงหวาดระแวงและถอยหนี



คนฉลาด ทำธุรกิจด้วยความอยากแลกเปลี่ยน ผู้คนจึงพิจารณาและคบหาตราบที่ต่างยังได้ประโยชน์



คนเจ้าปัญญา ทำธุรกิจด้วยความอยากให้ ผู้คนจึงต้อนรับด้วยความยินดี แม้จะต้องให้อะไรตอบบ้างก็ตาม



การดำเนินชีวิต
คนโง่ มักโกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์ กลับจนอยู่ร่ำไป ซ้ำมีศัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา



คนฉลาด แข่งขันแย่งกันกินอย่างถูกกฎหมาย จึงยุ่งยาก และพลาดไม่ได้ จะโดนแย่ง เพราะมีคู่แข่งพร้อมเหยียบย่ำเสมอ



คนเจ้าปัญญา แบ่งปันกันกินตามความพอดีในระบบสมดุล จึงมีคนช่วยสร้าง ช่วยรักษา และช่วยเสพ และมีมิตรร่วมรับผิดชอบ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขโดยมาก



ความมั่งคั่งร่ำรวย
คนโง่ ชอบรวยทางลัด จึงจนอย่างรวบรัดเช่นกัน



คนฉลาด ชอบรวยเชิงระบบ ต้องอิงอาศัยระบบจึงจะรวย เมื่อระบบล่มก็ต้องล้มไปด้วย



คนเจ้าปัญญา ชอบรวยด้วยความยินดี จึงรวยในทุกระดับที่มี ได้ดูดซับคุณค่าของสิ่งที่มีอย่างเต็มที่ จึงรวยและเป็นสุขเสมอทุกขณะ



คุณค่าแห่งธุรกิจ
คนโง่ เอาธุรกิจเป็นสรณะ เมื่อธุรกิจรุ่งก็รุ่งเรืองกับธุรกิจ เมื่อธุรกิจร่วงก็ร่วงหล่นกับธุรกิจ



คนฉลาด เอาธุรกิจเป็นพาหนะ เมื่อธุรกิจดีก็ขึ้นขี่ขับไป เมื่อธุรกิจเสียหายก็ซ่อมแซม เมื่อธุรกิจพังทลายก็เปลี่ยนธุรกิจใหม่ จึงเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา เอาธุรกิจเป็นสาธารณะ จัดระบบเกื้อกูลมหาชน เมื่อเกื้อกูลแล้วก็เก็บเกี่ยวเพื่อการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่



ผมคงไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่า หลักการของคนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญาที่ยกมาเพียงบางส่วนข้างต้นนั้น ตรงกันกับหลักการน่านน้ำสีขาว White Ocean Strategy อย่างยิ่ง และกำลังเป็นน่านน้ำสีขาวที่แผ่ไพศาลออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง หากท่านต้องการติดตามสาระข้อมูลดีๆ เชิญมา follow กันได้ที่ จะรอทวีตครับ!