
ก็ต้องขอแสดงความซาบซึ้งต่อน้ำพระทัยเมตตาของ "สมเด็จนโรดม สีหมุนี" ที่พระราชทานอภัยโทษให้ "นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์" และจะปล่อยตัวในวันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวา ผมก็คิดว่าเมื่อทุกอย่างจบลงไปอย่างที่ต้องการ ฉะนั้น ในภาคการเมือง อะไรๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็น่าจะให้จบลงไปด้วย เพราะบางเรื่อง-บางราวนั้น การ "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" หามีประโยชน์ไม่ ฟื้นไปก็มีแต่ตัวไร-ตัวเรือด
จะปล่อยจริง-ไม่จริง ก็ต้องรอดู "ของจริง" ในวันจันทร์อีกที นี่ผมก็พูดไปตามรายงานข่าวจากต่างประเทศ และคิดว่าพวกโฆษกประชาธิปัตย์ช่างพูด ก็ไม่ควรเอาบทละครเรื่องนี้เที่ยวไปบลัฟ-ไปเบิ้ลพรรคเพื่อไทย หรือใครต่อใครเขาเป็นการ "ต่อความยาว-สาวความยืด" ออกไปอีก
ชาวบ้านน่ะ โดยเฉพาะคอหนัง-คอละคร (น้ำเน่า) เขาคิดเป็น-ดูเป็นหรอก ดูแค่หัวม้วนแป๊บเดียว เขาก็เดา "ตอนจบ" ได้เองอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ต้องแส่นำมากนัก!
ส่วน "เพื่อไทย" เขาจะอาศัยการที่นายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาไปแบบไหน อย่างไร นั่น..ก็เห็นใจเขาเถอะ เพราะเขาทุ่มทุนสร้างออกหน้า-ออกตาซะขนาดนั้น ก็ต้องให้เขาหาทางถอนทุน-ถอนกำไรจากคอหนัง-คอละครประเภท จุกบี้-ต้ำไบ่ บ้างเป็นธรรมดา
แต่มีอยู่เรื่องที่คนพรรคเพื่อไทยทำลงไปวานนี้ (๑๑ ธ.ค.) เห็นแล้วสมเพช-เวทนาคนทำ และน่าจะเป็นการทำที่สร้างความตกต่ำให้พรรคเพื่อไทยหนักขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น ก็อยากนำมาเตือนสติกันไว้ เผื่อจะช่วยกระตุ้นเตือน "จิตสำนึก" ซึ่งกันและกันได้บ้าง
คือตอนเช้าวานนี้ เข้าใจว่ายังไม่รู้เหนือ-รู้ใต้อะไร ท่านพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า "เด็จพี่" โฆษกพรรคเพื่อไทย ไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องในนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย อดีตเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา แสดงความรับผิดชอบกรณีศาลกัมพูชาจำคุกนายศิวรักษ์ ๗ ปี
โดยให้ "ลาออก" จากตำแหน่ง!
คือเหมือนอย่างที่ "นางสิมารักษ์" แม่ของนายศิวรักษ์โทรศัพท์ในทำนองให้สัมภาษณ์จากเขมรมาเข้าเครื่องโทรศัพท์ท่านพร้อมพงศ์ แล้วท่านพร้อมพงศ์ก็เปิดเสียงให้นักข่าวฟัง
เป้าที่นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์พุ่งไปที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" เพราะนางตั้งทิศทางให้คนฟังเข้าใจว่า "ถ้านายคำรบไม่โทรศัพท์ไปหาลูกชายเขา นายศิวรักษ์ก็ต้องไม่มีวันนี้...คือไม่ต้องติดคุกนั่นแหละ!
สรุปชัดๆ ก็คือ นางสิมารักษ์คล้ายต้องการประจานว่า "มีการโจรกรรมข้อมูลลับ" คือตารางการบินจริงตามที่กัมพูชาตั้งข้อหา และคนที่โจรกรรม ไม่ใช่ลูกชายเขา หากแต่ "ประเทศไทย" โดยนายคำรบจากสถานทูตไทยตะหากที่โจรกรรมด้วยการโทรศัพท์ไปให้ลูกชายเขาทำอย่างนั้น
ฉะนั้น นายคำรบก็ดี นายกษิตก็ดี ต้องรับผิดชอบ!?
จากคำพูดนางสิมารักษ์นั้น จะด้วยความเข้าใจจริงๆ อย่างนั้น หรือจะด้วยอะไรก็ช่างเถอะ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ฟังแล้วอาจเข้าใจว่า...อ้อ...เรื่องนี้ "ประเทศไทย" เบื้องหน้าผู้ดี-เบื้องหลังผู้ร้ายจริงที่กัมพูชากล่าวหานี่นา!!
นี่...ผมก็ปูพื้นเป็นลำดับเรื่องราวให้เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุ ที่ท่านพร้อมพงศ์ไปยื่นหนังสือให้นายกษิตและนายคำรบแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ก็เป็นฉากต่อเนื่องกันมา และตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าเป็นการทำที่เกินกรอบ-เกินเส้นในสามัญสำนึกของมนุษย์ที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่...แสนจะทุเรศ
ก่อนจะสรุปกันว่า "ควรต้องรับผิดชอบไหม?" ก็อยากจะให้ท่านพร้อมพงศ์และทุกท่านในเพื่อไทย ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมนักกฎหมายอยู่เยอะแยะ ลองตอบซิว่า
ตารางการบินพาณิชย์นั้น เป็นข้อมูลลับทางราชการหรือ?
มันก็ไม่ใช่...!
นอกจาก "ผิดใจ" แล้วมันผิดกฎหมายฉบับใดในโลก ที่นายคำรบจะโทรถามถึงตารางการบินกับนายศิวรักษ์ที่ทำงานอยู่ที่วิทยุการบิน?
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้นายศิวรักษ์บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีแผน หรือร่วมรู้เห็นกับใคร "ทำเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย" ให้กลายเป็น "เรื่องผิดกฎหมาย" เพื่อใช้เป็นกลเกมเดินแต้มการเมืองระหว่างประเทศของใครบางคน
ก็เพราะมันไม่ผิดกฎหมายนั่นแหละ ที่จะแจ้งการขึ้น-ลงของเครื่องบินพาณิชย์ให้กับคนที่มาสอบถาม นายศิวรักษ์จึงทำไปตามปกติสากลโลก จะเรียกว่าทำไปตามหน้าที่ของพนักงานที่ดีก็ยังได้
แบบนี้ ทั้งพฤตินัย-นิตินัยนั้น มันผิดตรงไหน มันไม่แปลกเลยด้วยซ้ำที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" จะโทรสอบถามตารางการบินกับนายศิวรักษ์!
ในทางกลับกัน ในฐานะเป็นถึงเลขานุการทูตเอก มันอาจจะผิด และเป็นการบกพร่องต่อภาระหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชนไทยอยู่ในเขมรด้วยซ้ำ ที่ไม่เอาใจใส่สดับตรับฟังข่าวสาร-บ้านเมือง เพื่อรายงานเป็น "การข่าว" กลับมายังประเทศชาติบ้านเมืองตัวเองได้ทราบ
ถ้านายคำรบถือว่าธุระไม่ใช่ ทั้งที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานทั้งภาพ-ทั้งข่าวไปทั่วโลกโครมๆ อย่างนั้นว่า...ทักษิณบินเข้ากัมพูชาแล้ว...แต่นายคำรบเอาแต่นอนทอดหุ่ยอยู่ในสถานทูต ไม่ขวนขวายสนใจอะไรเลย ทางเมืองไทยสอบถามข้อมูลมาก็บอกว่า..ยัง..ยัง..ยังไม่รู้
อย่างนี้ตะหากล่ะที่ท่านพร้อมพงศ์ และทุกท่านในเพื่อไทย ควรทำหนังสือยื่นกระทรวงการต่างประเทศให้ "รีบไล่นายคำรบออกไปเลย"!
สรุปก็คือ นายคำรบปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ถูกต้องในความเป็นเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชาแล้ว การสนใจไต่ถามควานหาข้อมูลเพื่อรายงานให้ทางประเทศไทยได้ทราบนั้น เป็นผลงานที่ต้องยกย่อง ชมเชยในความเป็นแบบอย่างที่ดี
ไม่ใช่ทำหนังสือไปขับไล่ ยัดเยียดให้คนเข้าใจว่า "คนสถานทูตโจรกรรมข้อมูล" อย่างที่ท่านพร้อมพงศ์ทำไปหรอก ผมทุเรศท่านตรงนี้
และทนเห็นแสดงบทคนการเมืองไร้คุณภาพและจิตสำนึกเพื่อสังคมชาติบ้านเมืองไม่ไหว เกรงจะได้ใจเลยเถิด ในเมื่อเห็นสังคม "ไม่ให้ราคา" ก็เลยจะบ้าไปทุกเรื่อง
เล่นการเมืองก็เล่นไปเถอะ แต่อย่าให้ล้นกรอบ!
พวกคุณเป็นคนประเภทไหนกัน จิตสำนึกแยกแยะประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ประเทศชาติไม่มีบ้างเชียวหรือ เพียงเพื่อทักษิณ-ที่สูญเสียแล้วไปยืมมือฮุน เซน มาเล่นสงครามประเทศตัวเอง พวกคุณก็ยอมเป็น "ไส้ศึก" ให้คนขายชาติ และฮุน เซน คอยรับลูก-รับสัญญาณมาบ่อนทำลายประเทศชาติตัวเองให้ฉิบหายงั้นหรือ?
เป็นคน มันก็ต้องมีเส้นแบ่ง ถ้าไม่มี นั่น...มันก็ไม่ใช่คน ส่วนจะเป็นอะไรก็คิดเอา!
ผมก็ไม่อยากพูดอะไรถึงนางสิมารักษ์ เพราะเห็นแก่ลูกชาย เพราะผมเชื่อในความบริสุทธิ์-จริงใจต่อชาติบ้านเมืองของเขา และรู้ว่า "ไม่ผิด จึงทำ"
แต่ด้วยการปกครองระบอบ "ประชาธิปไตยฮุน เซน เบ็ดเสร็จ" ซึ่งสไตล์เดียวกับยุค "ประชาธิปไตยทักษิณเบ็ดเสร็จ" อะไรมันก็ผิดได้-ถูกได้ ตามอำนาจผู้นำ ฉะนั้น ในความไม่ได้ทำผิดของนายศิวรักษ์ แต่ด้วย "ความซวย" เลยถูกใช้เป็น "หมาก" ตัวหนึ่งในการเดินเกม...ก็เท่านั้น!
จะว่าไปแล้ว นางสิมารักษ์เธอก็มีความซื่อสัตย์ และความจริงใจ น่าชื่นชม แต่ถ้าความซื่อสัตย์ และความจริงใจนั้น เปลี่ยนจากทักษิณและจิ๋วมาเป็นประเทศไทย เธอก็จะได้ความรัก ความเห็นใจ จากประชาชนคนไทยมากกว่านี้
ลูกชายคุณไม่ได้ผิด แต่คุณไม่เคยแสดงความเชื่อมั่นในสิ่งถูกนั้น ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะพยายามพิสูจน์เลย กลับอ้างความรักของแม่ที่มีต่อลูกขึ้นเหนือความผิด-ถูก-ศักดิ์ศรีทั้งมวล ยอมทุกอย่าง อะไร-แบบไหนได้ทั้งนั้น เพียงขอให้ลูกพ้นคุกเป็นใช้ได้
เปลี่ยนทนายบ้าง จะประกันแล้วไม่ประกันบ้าง ปฏิเสธระบบทางกระทรวงการต่างประเทศบ้าง ระบบของกติกาสากลบ้าง แล้วมองข้ามช็อต...รู้ว่าลูกไม่ผิด ก็จะให้ยอมรับผิด...เพื่อไปถึงขั้นเตรียมการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยเชื่อและศรัทธาต่อทักษิณ-จิ๋ว-เพื่อไทย เหนือกว่าเชื่อและศรัทธาในความถูกต้อง
ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลยว่า "ผิดหรือถูก?"
ถ้ามีเวลาสังเกตสักนิด นางสิมารักษ์จะรู้สึกตัวว่า กำลังใจ และการเทใจช่วยจากคนไทยในวันแรกๆ ที่ทราบข่าวลูกของเธอถูกจับ กับวันหลังๆ ต่อมา ที่บทบาทแม่ของเธอชักจะชัดว่า "เดินตามบท" ของพรรคเพื่อไทย จะพบว่า กำลังใจให้คุณแม่ และการเชียร์ช่วยเหล่านั้น...เหือดหายไป
เพราะไม่มีใครอยากถูกหัวเราะลับหลังว่า...ไอ้พวกหน้าโง่!
เรื่องนี้ถึงจบตามความคาดหมายก็จริง แต่ดูจะลุกลี้-ลุกลน รวบรัดจบแบบ "มุบมิบจบ" กระนั้นก็ตาม ยังไงๆ ก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์กัมพูชา และขอบคุณในน้ำใจของนายกฯ ฮุน เซน ที่มีให้ต่อคนไทยคนหนึ่ง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือรีบจบเพราะ...มุกแป๊ก!
ไก่ทักษิณ ไก่เพื่อไทย ไก่จิ๋ว ถูกจับได้ยกเล้า ไม่มี "ไก่ฮีโร่" ดังนั้น ขืนลากยาวไปก็มีแต่ "หางโผล่" รีบจบน่ะดีแล้ว
ถ้าจะถามว่า "แบบนี้เป็นสัญญาณไทย-กัมพูชาใกล้จะสามัคคีกันใช่ไหม?" ผมบอกได้เลยว่า "คนละเรื่องกัน" ก็ในเมื่อฮุน เซน-ทักษิณ ใช้กรณีนายศิวรักษ์หวังกดดันให้คนไทยหันไปบดทำลายคนที่อยู่แล้วเขาไม่มีความสุข คือ "อภิสิทธิ์-กษิต" ไม่สำเร็จ เขาก็ต้องปล่อย และนั่น...เขาก็คงต้องไปคิดเกมกันใหม่ ซึ่งไม่ใช่เกม "ฮุน เซน จูบปากอภิสิทธิ์" แน่ๆ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น