วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด

โดย attawut08

ด้วยความเคารพ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ในบรรดารัฐมนตรีของคุณอภิสิทธิ์ทั้งหมด


เพราะคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


มีหน้าที่ดูแลและกำกับสื่อของรัฐ แต่ทุกวันนี้สื่อของรัฐกลับออกอาการหน่อมแน้ม


ทำงานกันเหมือนไม่รู้ว่าไม่รู้ว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร


ผมจะบอกให้ก็ได้


ประเทศไทยขณะนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์สงครามสื่อสารมวลชน


ที่มีคุณทักษิณ ชินวัตรเป็นแม่ทัพใหญ่


และยุทธศาสตร์หลักของคุณทักษิณคือ


ทำให้ผู้รับข่าวสารจากคุณทักษิณ เชื่อว่า


คุณทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


และคุณทักษิณยังเก่งขนาดทำให้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา


เชื่อว่าคดีของคุณทักษิณเป็นคดีทางการเมืองไม่ใช่คดีอาญา


จนเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชากล้าที่จะเลือกยืนข้างคุณทักษิณ


ด้วยการแต่งตั้งให้คุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา


และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนอย่างเป็นทางการ


เท่ากับเป็นการตบหน้าคนไทยและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


ที่ตัดสินลงโทษจำคุกคุณทักษิณ 2 ปี


ยุทธวิธีที่จะทำให้ยุทธศาสตร์นี้สำเร็จคือ


การให้ข้อมูลข่างสารซ้ำไปซ้ำมา


โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงต้นสายปลายเหตุของโทษที่ได้รับ


แค่ย้ำว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง เพราะทำงานมากเกินไป


หรือมัวแต่ทำงานโดยไม่ได้ระวังตัวจึงถูกกลั่นแกล้ง อะไรทำนองนี้


ผมเข้าใจดีว่าการที่จะตอบโต้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่คุณทักษิณใช้เป็นเรื่องยาก


เพราะการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความรู้ เป็นข้อมูลที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง


ยากกว่าการให้ข้อมูลที่เน้นไปที่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว


แต่ไม่มีสงครามครั้งไหนที่ง่ายเหมือนนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านกับลูกเมียหรอก


ที่ผ่านมาเกือบปีรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จ


ที่จะทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อได้อย่างสนิทใจว่า


คุณทักษิณได้รับโทษเพราะทำผิดกฎหมาย


หลายคนยังเชื่อเหมือนที่คุณทักษิณพยายามสื่อว่า


ได้รับโทษเพราะโดนกลั่นแกล้งโดนอิจฉาเพราะทำงานรับใช้ชาวบ้านเก่งเกินหน้าเกินตา


ก็เพราะยากนั่นแหละจึงจำเป็นต้องใช้รัฐมนตรีที่ฉลาดมีสมองมากกว่าคุณสาทิตย์มาทำงาน


ยิ่งมาเจอการให้สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณทักษิณมากนัก


เพราะแค่เป็นการเคลื่อนไหวของนักโทษหลบหนีคนหนึ่ง


ผมยิ่งหมดหวัง เพราะคุณสาทิตย์ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองมีหน้าที่อะไร


ถ้าคุณอภิสิทธิ์ยังใช้ขุนพลหน่อมแน้ม อย่างคุณสาทิตย์ มาทำงาน


ในสถานการณ์ที่ต้องทำศึกกับคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญการสื่อสารกับชาวบ้านมากที่สุด


อย่างคุณทักษิณ ถ้ายังมัวแต่ลอยไปลอยมาตั้งตนอยู่ในความประมาท


ไม่ใส่ใจ อีกไม่นานก็คงพังกันทั้งรัฐบาลนั่นแหละ


คุณทักษิณอยู่ดูไบ แต่มีปัญญาใช้สื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุ


ส่งข้อความออดอ้อนเรียกร้องหาความเป็นธรรมที่ต้องการได้ทุกวัน


แต่คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เสียอีกเป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจ มีหน้าที่


มีเครื่องมือสื่อสารกับชาวบ้านทั่วประเทศ


กลับทำงานไม่เป็นและยังไม่ให้ความสนใจอีก


อย่าว่าแต่จะทำงานในเชิงรุกเพื่อทำลายความชอบธรรมของคุณทักษิณเลย


แค่ทำงานเชิงรับ รับมือกับคุณทักษิณที่ขยันเขียน “ทวิตเตอร์” เช้าเย็นยังไม่มีปัญญาทำ


ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง


ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ยิ่งคุณสาทิตย์ห่วยแตกมากเท่าไร


ชาวบ้านยี่งเชื่อและศรัทธาคุณทักษิณมากขึ้นเท่านั้น





























สาทิตย์ วงค์หนองเตย เธอทำหน้าที่อะไรในรัฐบาลนี้ เชอะ!...







โดย toodtoodton

เกือบหนึ่งปี น้องเดียวผมชี้ตั้งเด่ ตัวสั้นเปี๊ยก เธอทำอะไรอยู่หรือ?

อ้อ เปลี่ยนโลโก้หอยม่วง โถ...น้องเดียว

ว่ากันว่าน้องเดียวจะขยับเมื่อหมีควายดำสั่งให้เขยื้อน หากนอกเหนือคำสั่งกำนันควายดำ น้องเดียวไม่มีสมองคิดทำ อุ๊บ... เรื่องจริงจากสันติไมตรี

น้องเดียว ในความไร้เดียวสาแบบเด็กน้อยเกมส์ทศกัณฑ์ ผู้ยังหลงใหลอยู่กับเกมส์ทายใบหน้าคจากลังปัญญา หารู้ไม่ว่าภารกิจหนึ่งเดียวของหน้าที่ตัวคือ ต้องทำอะไร...

รู้หรือไม่รู้...รู้...ทำหรือไม่ทำ...ไม่ทำ...

จะด้วยขาดสติปัญญา หรือขาดความกล้าหาญ อะไรก็ช่างเถอะ แต่การที่ยังลอยหน้าลอยตาท่ามกลางสงครามเต็มรูปแบบด้านสื่อสารมวลชน โดยที่ตัวเองมองมันอย่างเมินเฉย สมควรหรือไม่ที่จะต้องเฉยหัวตัวเองออกไป

ไม่...ไม่ต้องแทรกแซงสื่อ เพียงแต่เอาความจริงกับเวลาที่เหมาะที่สมและมากพอ บอกกล่าวความจริงกับประชาชน ความจริง!! ความจริง!!! และความจริง!!!

ความจริงที่ประชาชนที่ยังมืดบอดยังไม่ได้รับรู้

โดยเฉพาะเรื่องราวกลโกง การโกหกหลอกลวงของบรรดาหัวขวด ร่างคางคกทั้งหลาย การจาบจ้วง ความก้าวร้าวรุนแรง ทำได้ ทำอย่างมีศิลปะ ทำสกู๊ปดีดี สวยสวย ตื่นเต้นน่าติดตาม

บัดโธ่...เท่านี้ขี้คร้านละครเจ็ดสี สามสีจะตกวูบลงฉับพลัน

ก็เรื่องจริง เรื่องเข้มข้น เรื่องประเทืองสมองที่น่าติดตามเช่นนี้ ใครก็อยากดู ดูอย่างเนชั่นแนลจีโอ กราฟฟิค ปะไร เรื่องของสัตว์น่าขยะแขยงอย่าง "อีกัวน่า" แท้แท้ คนยังสนใจกันโลก

เฮ้อ เหนี่อยกับน้องเดียวคนนี้เสียเหลือที่

ไม่ใช่อะไรหรอกที่พูดมาทั้งหมดอยากให้เธอได้เป็นน้องเดียว คนที่เป็นอัจฉริยะตอบปัญหาของลุงปัญญาได้หมดทุกข้อนานนาน

ไม่อยกาเห็นเธอต้องตกม้าตายอย่างน่าเวทนา เพราะความขลาดและโง่เขลาของตนเอง

โลกหมุนเวียน สมัคร สุนทรเวช

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เถรขวาด...

โดย กระจกเงา

คมชัดลึก : “จึงหมายว่าจะแกล้งแปลงอินทรีย์ เป็นกุมภีล์ลงไปในอยุธยา จะทำเสียให้วุ่นขุ่นทั้งกรุง เอาให้ยุ่งถึงสมเด็จพระพันวษา”...


สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ทำให้นึกถึงเถรขวาด ตัวละครในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ แปลงกายเป็นจระเข้ออกอาละวาดไล่งับกัดคนในเมืองหลวงกรุงศรีอยุธยาให้วุ่นวายไปทั้งเมือง

เถรขวาดเป็นพระระดับพระสังฆราชาประจำเมืองเชียงใหม่ เคยถูกพลายชุมพลลูกชายคนหนึ่ง ของขุนแผนเอาดาบฟันแสกหน้า ถึงวันหนึ่งส่องกระจกเห็นรอยแผลที่หน้าผากก็ให้แค้นเคืองคิดเอาคืน

เถรขวาดจึงวางแผนดังคำกลอนข้างบนนั่น คือแปลงร่างเป็นจระเข้หมายล่อพลายชุมพลให้ออกมาสู้กับตน ทั้งที่เถรขวาดตอนนั้นอายุปาเข้าไปกว่า ๘๐ ปีแล้ว

ก่อนจากเมืองเชียงใหม่ลงมากรุงศรีอยุธยาได้มีผู้ตักเตือนเถรเฒ่าว่าแก่แล้วอยู่กับบ้านสบายๆ จะดีกว่า อย่าได้ไปออกสนามรบรนหาที่ตายเลย แต่เถรขวาดก็ไม่เชื่อเพราะเป็นเฒ่าเถรดื้อรั้นโดยนิสัยอยู่แล้ว

เถรขวาดนั้นจะกลายร่างแปลงพันธุ์เป็นสัตว์อะไรก็ได้แล้วแต่นึกสนุก เช่นแปลงเป็นอีแร้งบินจาก เหนือลงมาที่อ่างทองก่อนกลายเป็นจระเข้ยักษ์เขี้ยวโง้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เที่ยวไล่ล่มจมเรือชาวบ้าน และไล่กัดกินคนดะเรื่อยลงมาจนถึงกรุงศรีอยุธยาในที่สุด

แม้ในงานบุญการกุศล ขณะที่ชาวบ้านเล่นเพลงลอยเรือฉลองพระกันอยู่ที่ อ.ป่าโมก จระเข้เถรขวาดก็ไม่ละเว้นออกอาละวาดไล่งับกัดคน ในขณะที่จระเข้เจ้าถิ่นก็พากันเกรงกลัวหนีหายไปสิ้น จระเข้เถรขวาดจึงสามารถทำลายล้างได้อย่างสนุกยิ่งตามอำเภอใจตน

แถมในวันว่างยังคืนร่างกลับเป็นเถร ออกบิณฑบาตให้ชาวบ้านทำบุญใส่บาตรให้อีกด้วย ริยำถึง ขนาดนั้น

จระเข้เถรขวาดได้เข้ามาแผลงฤทธิ์อาละวาดถึงกรุงศรีอยุธยาในแม่น้ำบริเวณโรงเก็บเรือหลวง จนร้อนถึงสมเด็จพระพันวษาเจ้า ต้องส่งพลายชุมพลซึ่งเป็นหมอจระเข้ออกไปปราบ

ฉากที่ต่อสู้กันระหว่างเถรเฒ่ากับคนหนุ่มรูปงามอย่างพลายชุมพลจึงได้เริ่มต้นขึ้นตรงที่บริเวณ แม่น้ำใจกลางเมืองกรุงศรีอยุธยานี้ ผลก็คือคนแก่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่คนหนุ่ม ต้องถูกจับมัดไว้และต้อง กลายร่างเป็นเถรร้ายประจานให้ชาวบ้านเห็นในตอนจบ

เถรขวาดถูกประหารชีวิตแถมยังถูกด่าว่าเป็น “ทุด อ้ายแก่โกโรก...” ต้องโทษมหันต์อันธพาล โดยถูกพลายชุมพลคนหนุ่มตัดหัวทิ้งที่ตะแลงแกงใจกลางเมืองนั่นเอง

เถรขวาดมีลูกศิษย์ชื่อเณรจิ๋ว แต่ไม่เกี่ยวกันนะครับ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ว่าด้วยพระราชอำนาจ และคำสัตย์ปฏิญาณ

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

ดูเหมือนว่า จะมีผู้ลืม หรือไม่รู้ (หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้) เรื่องของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการตำรวจอยู่

ก่อนอื่น ควรเข้าใจว่า ระบอบการปกครองเมืองไทยนั้น เป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตรงที่ควรจำให้ได้นั้นคือคำว่า "ประชาธิปไตย" ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าประเทศไหนๆ อำนาจอธิปไตยก็เป็นของประชาชนทั้งนั้น แม้จะยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ อย่างในเมืองไทยและอีกหลายๆ ประเทศ พระมหากษัตริย์ก็ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนเท่านั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับบัญญัติไว้ชัดเจนเช่นนั้นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ประกาศใช้ใน พ.ศ.2475

และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ก็บัญญัติไว้อย่างเดิมว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของ "ปวงชนชาวไทย" และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบัญญัติไว้ตรงไหนในมาตราใดเลย ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนข้าราชการตำรวจ มีแต่ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 (มาตรา 26) ที่ระบุว่า การแต่งตั้งยศข้าราชการตำรวจสัญญาบัตร ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโอกงการ" และการถอดถอนก็ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโองการ" เช่นเดียวกัน

การแต่งตั้งและถอดถอน (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก และหนีโทษไปอยู่ต่างประเทศ เป็นมาตรการทางการบริหาร ไม่ใช่พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และสมมุติว่าเป็น แต่ในการใช้พระราชอำนาจ พระมหากษัตริย์ก็ทรงถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญอยู่ดี

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งใครตามพระราชอัธยาศัย มิใช่ว่าทรงนึกจะแต่งตั้งใครให้มียศอะไร สูงต่ำเพียงไหน ก็ทรงแต่งตั้งคนนั้นได้ แต่การแต่งตั้งต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระมหากษัตริย์เพียงแต่ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งเท่านั้น

แม้การแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา ให้มียศเป็นนายทหาร ก็ไม่ได้เกิดหรือมาจากพระราชดำริ แต่ขึ้นต้นโดยกองทัพนั้นๆ ตามกฎหมาย

เรื่องการถอดยศก็เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์จะทรงทำโดยพระราชอัธยาศัย ทรงนึกจะถอดยศใครก็โปรดเกล้าฯให้ถอดไม่ได้ จะถอดยศทหาร กองทัพก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ จะถอดยศตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ และการดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมายเหมือนกัน

ส่วนการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติในมาตรา 192 ว่าเป็นพระราชอำนาจ แต่วิธีดำเนินการก็เริ่มต้นที่กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ พระมหากษัตริย์ไม่เคยทรงเรียกคืนตามพระราชอัธยาศัย

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังพยายามจะให้พระราชทานอภัยโทษ หรือไม่ให้ทรงถอดยศ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าเป็นพระราชอำนาจนั้น จึงลืม หรือไม่รู้ หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้

จบเรื่องพระราชทานยศและถอดยศแล้ว ต่อไปนี้ ผมขอนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ของนายทหารและตำรวจผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี ซึ่งเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดินเป็นพิเศษ อันเป็นพระราชดำริแรกเริ่มในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาลงให้อ่านกัน ดังนี้

"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณ) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตัว ต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่ หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที อย่าให้มีความสุขสวัสดีด้วยประการใดๆ หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ มีพระสยามเทวาธิราช เป็นต้น จงบันดาลความสุขความสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ ได้เป็นกำลังทำนุบำรุงประเทศชาติสืบไป สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

ขอแถมท้ายด้วยคำสาบานของทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ ที่ถวายต่อพระพักตร์เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี

"ข้าพเจ้าจักยอมตายเพื่ออิสรภาพและส่วนรวมแห่งชาติ

ข้าพเจ้าจักรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้าพเจ้าจักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา

ข้าพเจ้าจักเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์

ข้าพเจ้าจักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม

ข้าพเจ้าจักไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด"

ที่ผมนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณและคำสาบานมาเขียนให้อ่านนี้ ก็เพราะเห็นว่า มีการไม่รู้ หรือลืม หรือทำเป็นไม่รู้ หรือทำเป็นลืม เหมือนๆ กับเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอน

คนอื่นก็ช่างมันเถอะครับ แต่ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณและสาบานกันไปแล้วน่ะ ผมเป็นห่วง

หน้า 6