วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โจทย์ใหม่กับการลดการแบ่งขั้ว

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com


ช่วงที่ผ่านมามีความพยายามจากฝ่ายต่างๆ ที่จะตั้งโจทย์และเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งขั้ว แบ่งฝ่ายที่เกิดขึ้นในทางการเมืองและสังคม แต่ส่วนใหญ่มักตั้งโจทย์แคบๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ฯลฯ ซึ่งข้อเสนอต่างๆ เน้นไปที่ผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นหลัก

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มอบหมายให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ที่ดีอาร์ไอ) ทำวิจัยในหัวข้อ "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง" ซึ่งข้อเสนอการวิจัยดังกล่าวได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ จึงขอสรุปแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าวนำเสนอโดยสังเขป

ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ในด้านหนึ่งเศรษฐกิจผูกขาด เช่น ระบบสัมปทานต่างๆ ซึ่งอิงกับอำนาจรัฐ ก่อให้เกิดส่วนเกินทางเศรษฐกิจหรือค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (economic rent) มหาศาลและชักนำให้นักธุรกิจหลายกลุ่มที่มีแหล่งรายได้หลักจากสัมปทานเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และได้รับชัยชนะในระบบการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินทุนสูง

ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจในระดับที่สูง และการที่ประเทศไทยมีแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการจำนวนมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดสวัสดิการที่ได้รับจากการทำงาน และต้องการความช่วยเหลือจากรัฐทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา การเข้าถึงสินเชื่อ ฯลฯ

ปัจจัยทั้ง 2 ด้านทำให้นักการเมืองบางกลุ่ม ประสบความสำเร็จในทางการเมืองอย่างสูงโดยใช้ "นโยบายประชานิยม" ซื้อใจคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง

นอกจากนั้น ก็อาศัยอำนาจการเมืองที่ได้จากการเลือกตั้งมาใช้ปกป้อง เพิ่มพูนผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสร้างอำนาจผูกขาดให้ธุรกิจของพวกพ้อง ตลอดจนแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจจากนโยบายสาธารณะและมาตรการต่างๆ ของรัฐ ทั้งในระบบงบประมาณ และนอกระบบงบประมาณ

ปัญหาการผูกขาดและความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจจึงมีผลกระทบโดยตรง รวมถึงการใช้ "นโยบายประชานิยม" แบบขาดวินัยทางการคลัง ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมีเสถียรภาพ

ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อลดส่วนเกินและลดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการปฏิรูปกฎกติกาและสถาบันทางการเมืองอย่างที่เคยดำเนินการมา

เอกสารได้ยกตัวอย่างผลงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างมั่นคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ได้ ซึ่งทำได้โดยการลดความร่ำรวยมหาศาลที่กระจุกตัวในคนกลุ่มน้อยจากการได้รับส่วนเกินทางเศรษฐกิจต่างๆ ควบคู่ไปกับเพิ่มรายได้และสวัสดิการสังคมให้คนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนนโยบายประชานิยมไปสู่การให้สวัสดิการพื้นฐานตามแนวคิดของรัฐสวัสดิการ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะต้องไม่รุนแรงเกินไปจนก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการล้มกระดานของชนชั้นสูงที่เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยทำให้ตนต้องเกิดความสูญเสียมากกว่าทางเลือกอื่น ซึ่งการโอนถ่ายทรัพยากรระหว่างกลุ่มคนไม่มากเกินไป เช่น ต้องไม่กระทบระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากการถูกยึดทรัพย์ โดยไม่มีเหตุผลสมควร ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่น้อยเกินไปสำหรับคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง

นอกจากนี้ กระบวนการดังกล่าวต้องมีความชอบธรรม เช่น ไม่ปิดโอกาสในการสร้างฐานะจากการทำงานโดยสุจริต แต่ลดโอกาสในการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ขณะเดียวกัน รัฐสวัสดิการจะคงอยู่รอดได้ หากเศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน จากการที่ภาคการผลิตมีการยกระดับผลิตภาพ (production upgrading) อย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายของรัฐถูกควบคุมอยู่ภายใต้กรอบทางการคลังที่โปร่งใสและมีวินัย

งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกระจุกตัวของทรัพย์สิน กับการกระจุกตัวของอำนาจการเมือง โดยการจัดทำแผนที่ของค่าเช่าทางเศรษฐกิจ การนำเสนอแนวนโยบายการลดหรือการควบคุมค่าเช่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการจำกัดพฤติกรรมดังกล่าวที่จะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจและการเมือง

ส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจที่จะหยิบยกมาศึกษามีด้วยกัน 5 ด้าน ได้แก่ การผูกขาดทางเศรษฐกิจ การแทรกแซงตลาด เช่น ตลาดสินค้าเกษตร การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง/สัมปทานของรัฐ การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลลวงในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนั้น จะศึกษาเรื่องมาตรการการคลังเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ประโยชน์จะต้องมีการผลักดันให้ผู้นำทางการเมืองนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เกิดผลด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น