วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดึงฟ้าต่ำ

































"ฎีกาเสื้อแดง"กับการรับมือที่"ไร้สติ"
โดย

ที่จริงแล้ว "เรื่อง-ทุกเรื่อง" เมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมมี "ทางออก-ทางไป" ของมันอยู่ในตัว ภาษาพระบอกว่า "เป็นไปตามเหตุปัจจัย" ภาษาหนังกำลังภายในบอกว่า "มาทางไหน-ไปทางนั้น" ภาษาชาวบ้านบอกว่า "เมื่อสานก้นได้ก็ต้องไปถึงขอบ" เมื่อใคร่ครวญเช่นนี้แล้ว ผมจึงแปลกใจว่า ทำไม...ใครต่อใครทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์ จึงได้วิตกทุกข์ร้อนและกระวนกระวายกันนักในกรณี "เสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกา"
เราใช้สัญชาตญาณแทนสติกันมากไปหรือเปล่า น่าจะหาเวลาทบทวนเรื่องราวเพื่อหาคำตอบกันสักนิด แล้วประเทศไทยจะได้ชื่อว่า "พาราสาวัตถีคนมีสตินำชาติ" ซึ่งมีแต่เยี่ยงนี้เท่านั้น ปัญหาทั้งหลาย-ทั้งปวงในรอบ ๒-๓ ปีที่หมักหมมถมทับจนส่ายหน้าพูดกันว่า "หมดทางออก"นั้น
เราก็จะพบ "ทางออก" พรุนไปหมด
เพราะอย่างน้อยที่สุด "ทางออก" มันอยู่ตรง "ทางเข้า" นั่นแหละ!
ความรู้สึกตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ที่ว่า "ไม่มีทางออก" นั้น เพราะเรามองเรื่องราวนั้นๆ เหมือนมองผ่านน้ำขุ่น "ขุ่น" นั้นคือมองด้วยความว้าวุ่น-ไร้สติ ฉะนั้น ทั้งที่บางทีก็ตื้นๆ แต่ใจที่ไร้สติ ทำให้กรอบวินิจฉัยยิ่งตื้นกว่า มองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เห็นก้นตุ่ม-ก้นกะลาซักที!?
หรือนอนๆ อยู่ ได้ยินเสียงใครไม่รู้ตะโกน ไฟไหม้..ไฟไหม้..ก็ไม่ดูเหนือ-ดูใต้ โดดผลุงด้วยตกใจอุ้มตุ่มน้ำทั้งใบฝ่าเปลวไฟออกจากบ้าน พอหายตกใจก็ต้องนั่งกอดตุ่มร้องไห้
กู...ทำไมมันน่าละอายอย่างนี้ ลูก-เมีย-เงิน-ทอง ในบ้านแทนที่จะจัดลำดับความสำคัญแล้วช่วยให้รอดจากกองไฟก่อน แต่นี่..ดันไปอุ้มเอาแต่ตุ่มน้ำหนีไฟ โศกจนตายก็ไม่หาย...งั่ง!
ฉะนั้น กุญแจดอกสำคัญที่สามารถ "ไขทุกปัญหา" ให้จ้ากระจ่าง คือ "สติ" ต้องนำหน้า "สัญชาตญาณ" อย่างปัญหาคนเสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกา มหาดไทยหันซ้าย-หันขวา ก็คิดแก้ด้วยสูตร ๑+๑=๒
มึงล่ารายชื่อถวายฎีกา กูก็จะล่ารายชื่อถอนถวายฎีกา พอเห็นท่าไม่เวิร์ก เพราะยอกย้อนสับสน ก็เอาใหม่ ให้แต่ละจังหวัด ล่ารายชื่อคัดค้านการถวายฎีกา!?
ฝ่ายรัฐบาล หันรี-หันขวางอยู่หลายวัน จนวันสุดท้ายของการล่าชื่อของคนเสื้อแดง ก็ออกโทรทัศน์ชี้แจงว่าทำไม่ได้ ครับ..ถ้าทำได้ก็คงไม่ต้องออกโทรทัศน์ใช่มั้ย ก็ว่ากันไปต่างๆ นานา
รายการคนเสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกาก็เลยเหมือนลูกตะกร้อ โด่งดังแพร่หลายชนิดไม่ตกพื้น คนที่ไม่รู้ก็ได้รู้ คนที่รู้ก็ยิ่งคึก
ยิ่งทักษิณพระเอกของเรื่อง จากปากต่อปาก-สื่อต่อสื่อ ดังยกกำลัง ๒ ไปเลย ชื่อและบทบาทได้รับการโปรโมต "ยกชั้น" คู่ไปกับนามสถาบัน ทั้งจากสื่อรัฐ-สื่อราษฎร์ แม้กระทั่งจากปากนายกรัฐมนตรีเอง!
เรียกว่ารายการนี้ "ทักษิณ-เสื้อแดง-สามเกลอหัวขวด" พบความสำเร็จทางการตลาดเกินคาด "ลงทุนร้อย-กำไรล้าน" อีกครั้งหนึ่ง!
ผมไม่ได้หมายถึงว่า ไม่ให้รัฐบาล หรือใครๆ ออกมาทำอะไร แต่ผมหมายถึงว่า "ความรู้สึกช้า" ของรัฐบาลนั้น มันทำให้เรื่องนี้เข้าตำรา "กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้" ไปหรือเปล่า คือแทนที่จะปูพื้นฐานด้วยกฎระเบียบการขอพระราชทานอภัยโทษให้ประชาชนเข้าใจแต่เริ่มแรก แต่ก็ไม่ทำอะไรเลย
ปล่อยให้ ๓ เกลอหัวขวดล่ารายชื่อไปจนวันสุดท้ายถึงได้ออกมาเต้นแร้ง-เต้นกา ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงยัดเยียดข้อมูลใส่ความว่างเปล่าของสมองชาวบ้านในด้านความรู้เกี่ยวกับกฎกติกาไปหมดแล้วว่า
"พวกเขาทำได้ เพราะทำในนิยามความผูกพันพ่อกับลูก เหมือนเมื่อครั้งการปกครองสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช"!
กำปั้นศรีธนญชัยทุบดินก็จริง แต่สังคมไทยที่อ่านหนังสือกันเฉลี่ยแล้วคนละ ๗ บรรทัด/ปี มันเห็นภาพประชาธิปไตยสมัยพ่อขุนรามฯ ที่ "ใครทุกข์ร้อนก็สั่นกระดิ่ง" หน้าประตูวัง บนความแนบแน่นว่า "ที่พึ่งสุดท้าย" ของทุกสิ่ง-ทุกอย่างที่หมดหวัง คือ "พระเจ้าแผ่นดิน"
ซึ่งมันคนละกรณี คนละยุคสมัย คนละเรื่อง-คนละราว อันไม่สามารถโมเมสรุปรวมเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ได้เลย แต่ ๓ เกลอหัวขวดทำได้ เพราะฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะผู้ควบคุมสื่อรัฐ "พูดได้" แต่ทำอะไร "ไม่เป็น"!
บวกกับลักษณะสังคมไทยที่ "คนเจริญด้วยการศึกษาไม่ทันกับการก้าวหน้าทางวัตถุ" ฟังแล้วบอก...ใช่เลย เพราะไม่อย่างนั้น จะมีคนยอมเผาบ้าน-เผาเมือง ด้วยเชื่อคำโหกครั้งแล้ว-ครั้งเล่าของของคนโกงชาติ-โกงแผ่นดินชนิดฝังหัวหรือ?
อันที่จริงแล้ว กฎระเบียบ ขั้นตอน อันว่าด้วยเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ นั้น มีอยู่ครบถ้วนหมดแล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือนถนนสายหนึ่งที่มีป้ายบอกทางแยก ทางเลี้ยวไว้เสร็จสรรพในแต่ละระยะ ใครมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ก็ขับไปตามป้ายบอกทางก็ย่อมถึงจุดหมายได้
ส่วนใครจะดันทุรัง บอกทางตันก็จะผ่าไป บอกเลี้ยวซ้าย ก็ดื้อรั้นว่าโลกกลม...จะเลี้ยวขวา บอกให้หยุดระวังรถไฟ ก็บอกสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล...จะไปซะอย่างใครจะทำไม?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยให้เขาไปตามทางที่เขาเลือกเอง และเขาก็ต้องไปเผชิญในแต่ละจุดที่เขาเฉไฉแหกไปเอง ส่วนผลที่ได้รับจากการแหกด่าน แหกกฎระเบียบนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว เพราะแกนนำเสื้อแเดงแต่ละคน ไม่ใช่ควาย ระดับอดีตคนในวงการตุลาการก็มีด้วยซ้ำ!
นั่นคือ ก่อนที่ฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายไหนจะโวยวายปกป้องสถาบันเหมือนคนอุ้มตุ่มน้ำหนีไฟ ค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราว "ด้วยสติ" เพื่อรับมือให้ถูกต้องในแต่ละขั้นตอนจะดีกว่าไหม?
ก่อนอื่น ทำป้ายบอกทางให้คนสัญจรรู้ชัดครบถ้วนแล้วหรือยังว่า ฎีกาแบบไหนใช้ได้-ฎีกาแบบไหนใช้ไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อแดง "รู้แล้ว-แต่จะแหกป้ายเอง" นั่นก็ช่างเขา แต่เราต้องบอกกล่าวถึง "มาตรฐานตามกฎหมาย" ให้สุจริตชนทราบกันอย่างแพร่หลาย เมื่อทราบกันทั่วไปแล้ว รัฐบาลหรือใครๆ ก็ไม่ต้องไปจ้ำจี้-จ้ำไชวายโวยอะไรอีก
เพราะชาวบ้านเขาจะ "ตรวจหวย" กันเอง ใครผิด-ใครถูก ก็รู้กันได้เองตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลประกาศให้ทราบแพร่หลาย เช่น คนเสื้อแดงบอก "ถวายฎีกา" ชาวบ้านก็จะเทียบเคียงดูได้เองว่า
๑.เขาฎีกาด้วยเรื่องอะไร เป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ ด้วยข้อความตามที่ "นายวีระ มุสิกพงศ์" เคยแจกจ่ายเมื่อ ๒ ก.ค.อันเป็นข้อความที่ก้าวร้าว-บีบคั้น-ท้าทายพระราชอำนาจอย่างยิ่ง หรือเป็นฎีกาด้วยข้อความอื่นใด?
๒.ขณะนี้ คนเสื้อแดงยังไม่ได้ยื่นฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น เพียงอ้างว่าอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อ ถือว่ากรรมยังไม่ครบองค์เจตนา
๓.ตามเจตนาที่ทราบกันอยู่ คนเสื้อแดงจะฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษใน "โทษจำคุก ๒ ปี" ให้กับทักษิณ เมื่อเป็นกรณีนี้ ก็ต้องไปพลิก "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๗ มาตรา ๒๕๙-๒๖๗" ว่าพวกเสื้อแดงทำเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์คร่าวๆ ของคนที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ "เฉพาะราย" ได้ มีดังนี้
ก.คดีถึงที่สุด และรับโทษอยู่ในเรือนจำ
ข.ต้องสำนึกผิดในโทษที่ตัวเองได้รับ จากการที่ได้กระทำผิดลงไป
ค.ตัวนักโทษเอง หรือพ่อ-แม่-คู่สมรส-ลูก เท่านั้น เป็นผู้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
ฆ..ยื่นหนังสือนั้นผ่านพัศดี หรือผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ รมว.ยุติธรรม และผู้รับหนังสือจะออก "ใบรับ" ให้
ง.พัศดี หรือ ผบ.เรือนจำ ต้องส่งหนังสือนั้นไปยัง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม"
จ.รัฐมนตรียุติธรรมต้องนำเรื่องเข้า ครม.พิจารณา เพื่อส่งต่อไปยัง "สำนักราชเลขาธิการ"
ฉ.สำนักราชเลขาธิการพิจารณาแล้วส่งเรื่องไปยัง "คณะองคมนตรี"
ช.คณะองคมนตรีกลั่นกรองแล้ว ก็จะนำฎีกานั้นขึ้นกราบบังคมทูลฯ
ซ.จะได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์
ฌ.เมื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างใด สำนักราชเลขาธิการก็จะส่งผลฎีกานั้นให้ทางกรมราชทัณฑ์ทราบ
ญ.ทางกรมราชทัณฑ์จะแจ้งผลฎีกานั้นให้ผู้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาทราบเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เนี่ยะ...ประตู-หน้าต่างอันเป็น "ทางเข้า-ทางออก" ของปัญหามีอยู่พร้อมหมด ไม่เห็นต้องโกลาหลเป็นไฟไหม้กรุงลงกา รัฐบาลก็เอาแต่ "ความรู้สึก" มาบอกชาวบ้านเท่านั้นว่า..ทำไม่ได้..ทำไม่ได้..แต่มันไม่ได้ยังไงไม่เคยบอก เพิ่งมาออกโทรทัศน์เอาวันที่เขาเลิกล่ารายชื่อกันแล้วนั่นแหละ!
ถ้ามีสติ และรับมือเรื่องราวไปตามขั้นตอนของมัน ป่านนี้การล่ารายชื่อของพวกเสื้อแดงฝ่อไปแล้ว กลายเป็นตัวตลกกลางแดดไปด้วยซ้ำ เพราะสุจริตชนทั้งหลายจะเห็นชัดด้วยความเข้าใจว่า มันไม่เข้ากรอบกฎกติกาตรงไหนที่พวกเสื้อแดงจะถวายฎีภาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในคุก-ในตะราง
คือไม่มีตัวตนคนทำความผิด แล้วจะอภัยโทษให้ผีสางงั้นหรือ?
คงนึกว่าทำได้ เหมือนทำกงเต็กให้ทักษิณเมื่อ ๒๖ ก.ค.ที่วัดแก้วฟ้างั้นซี?
และเมื่อล่ารายชื่อทำฎีกาแล้ว จะไปยื่นช่องทางไหนล่ะ ที่เรือนจำก็ไม่ได้ ที่รัฐมนตรียุติธรรมก็ไม่ได้ ที่สำนักราชเลขาธิการก็ไม่ได้ ที่สำนักพระราชวังก็ไม่ได้ สมมุติว่าดันทุรังทำเถื่อนๆ ไปตามประสาแดงทักษิณ ไปยื่นที่สำนักราชเลขาธิการ
เขามีมรรยาท เขาก็รับหนังสือไว้ และในเมื่อหนังสือนั้นไม่ได้มาตามขั้นตอนกฎหมาย ก็เป็นความชอบธรรมทางกฎหมายอยู่เองที่สำนักราชฯ จะจบขั้นตอนอยู่ตรงนั้น เพราะไม่สามารถนำเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายส่งคณะองคมนตรีได้
เมื่อเสื้อแดงไปทวงถาม หรือไม่ต้องรอให้ไปทวงถาม สำนักราชเลขาธิการจะตอบกลับให้เสื้อแดงทราบก็ได้ว่า "ฎีกานั้นไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ดังนั้น ทางสำนักราชเลขาธิการจึงไม่สามารถนำขึ้นกราบบังคมทูลฯ ได้" ก็ยุติเป็นที่สุดอยู่ตรงนั้น
เนี่ยะ...ทุกอย่างมีขั้น-มีตอน มีกรอบกฎหมายเป็นระเบียบปฏิบัติ ใครจะทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ
-อ้างสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่เสื้อแดงทำทุกอย่างเพื่อให้ทักษิณได้รับสิทธิพิเศษแบบ "เผด็จการเหนือกฎหมาย"
-ประณามอำมาตยาธิปไตย แต่ชูอำมาตยาธิปไตยสมัยพ่อขุนรามฯ มาลบล้างกฎหมายประชาธิปไตย ด้วยให้ใช้ระบบ "อำนาจนอกกฎหมาย" อภัยโทษให้ทักษิณ โดยที่ทักษิณไม่ยอมรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างนี้ ๓ เกลอหัวขวด มันควร "หัวหด" มากกว่า "ตำรวจ-ทหาร-รัฐบาล" จะหด จริงมั้ย?.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น