วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ระวังน้ำจะท่วมฟ้า-ปลาจะกินดาว

โดย

ท่านว่าในระยะสัปดาห์มานี้ร้อนผิดปกติมั้ย เหตุที่ถามเพราะผมไม่แน่ใจว่า "ร้อนอยู่คนเดียว" หรือคนอื่นก็รู้สึกว่าอากาศประเทศไทย "ร้อนผิดปกติ" เหมือนผม เดี๋ยวนี้มาทำงานตอนบ่ายๆ ผมคว้าเสื้อได้ก็พาดบ่าเดินโทงๆ ขึ้นรถออกจากบ้านเลย นั่งจนตัวเย็นเป็นไอติมแล้วนั่นแหละค่อยสวม บางคนเขาก็ทักว่า "สงสัยไฟธาตุจะแตก" แต่ผมลองเลียบเคียงถามหลายๆ คนแล้ว เขาก็ร้อง "เออเนอะ...มันร้อนจริงๆ"!

ความจริง เมืองไทยมันก็ร้อนของมันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยไปสัมผัสความร้อนประเทศอื่น ก็เลยแยกไม่ออก-บอกไม่ถูกว่า ร้อนของเมืองไทย กับร้อนของเมืองอื่น มันเป็น "ความร้อน" ที่เหมือนกัน หรือร้อนเหมือนกัน แต่แตกต่างกัน?

จนกระทั่งผมไปดูไบ ซึ่งไม่เห็นใบอะไรเลย นอกจากทราย และนายใหญ่ก็ไม่เห็น คือมันนานมาแล้ว นั่นแหละครับถึงได้รู้ถึง "ร้อนที่แตกต่าง" ระหว่างร้อนชื้นแฉะของเมืองไทย กับร้อนแห้งแล้งของประเทศในทะเลทรายอย่างดูไบ มันร้อนเหมือนเข้าเตาไมโครเวฟ น้ำในเนื้อ-ในตัวจะถูกบิดจนแห้ง

เวลาหายใจเหมือนสูดเอาใบมีดโกนยิลเลตต์เข้าไปกรีดกลางกระหม่อม!

ผมก็เลยบอกท่านได้ว่า อากาศในระยะนี้ของบ้านเราคล้ายๆ อากาศในทะเลทราย มันร้อนเผาไอน้ำในอากาศจนแห้ง และอากาศที่แล้งน้ำนั่นแหละเกิดสภาพเบาบางยกกำลังสิบ ที่เราได้ยิน ฟ้าร้อง-ฟ้าแลบ-ฟ้าผ่า ด้วยลีลาและสำนวนชวนหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่ละครั้งครืนครั่นยาวนานต่อเนื่องหลายระยะนั้น

ไม่ใช่สัญญาณอาเพศ-อาถรรพณ์อะไรหรอกครับ สภาพเบาบางยกกำลังสิบนั่นแหละ เมื่อเจอกับอากาศคนละชั้นบรรยากาศสภาพฝนซู่ซ่า ประกอบฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ผิดปกติอย่างตอนเย็นวานนี้ (๒๗ ส.ค.๕๒) จึงเกิดขึ้นบ่อยเป็นธรรมดา

แต่เดี๋ยวนี้ คนไทยด้วยกัน อยู่กรุงเทพฯ ด้วยกัน พูดเรื่องเดียวกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ เพราะฝนฟ้าทุกวันนี้ท่านก็ Change เหมือนกัน สมมุติฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ แถวคลองเตย แต่คนอยู่แถวราชประสงค์ หรือสนามหลวง แดดแจ๋ ร้อนหัวจะแตก!

นั่นก็ยังพูดได้ว่าสถานที่ห่างกัน เอาที่เห็นจะจะลูกตา ขึ้นรถบนทางด่วนไปดินแดง ฝนตกซู่ๆ จนที่ปัดน้ำฝนปัดแทบไม่ทัน แต่แหงะไปดูทางด่วนคู่ขนานที่จะไปทางบางนา....ไม่มีฝนซักเม็ด

ดูซี...ฝนก็ยังเลือกข้าง นับประสาอะไรกะคน!?

เรื่องฝน-เรื่องน้ำนี่ ผมอยากจะบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องไกลตัว" ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว ต้องหันมาจับตาด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะต่อจากนี้ ในระยะเวลาที่ใกล้มาก น้ำจะไม่มาในลักษณะ "เรื่อยๆ มาเรียงๆ" หรอกครับ แต่จะมาฉับพลันทันด่วนในลักษณะ

"น้ำพุพุ่งซ่าน ไหลมาฉาดฉาน มันไหลจอกโครมจอกโครม มันดังจ้อกจ้อก..จ้อกจ้อก..โครมโครม" อย่างเพลงเขมรไทรโยค ที่ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์" ทรงประพันธ์ไว้นั่นเชียว

ไม่ใช่ให้กลัว "เขื่อนแตก" ที่เมืองกาญจนบุรีหรอก มันเป็นเรื่องของคนท้องอืด-ท้องเฟ้อเขาพูดกัน แต่ผมอยากให้สังเกตกันว่า ตั้งแต่ต้นปีมา พื้นที่โลกหลายๆ แห่ง ที่น้ำไม่ท่วม ก็จะเกิดน้ำท่วม ที่ไม่เคยแห้งแล้ง ก็จะแห้งแล้ง ที่ฝนเคยตกต้องตามฤดูกาล ฝนก็จะหมดประจำเดือนไปเลย!

วันก่อน น้ำท่วมประเทศมองโกเลีย อยู่ในย่านที่ราบไซบีเรีย คาบเกี่ยวเขตพื้นที่จีนกับรัสเซีย ใครจะคิดว่าน้ำจะท่วมไซบีเรียได้ เท่าที่เคยไปเห็นพื้นสภาพด้วยลูกตา นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าน้ำจะท่วมได้ แล้ววันนี้ ชาวเมืองอูลานบาตอร์ก็ต้องจมน้ำต๋อมแต๋ม!

กรีซ-อเมริกา-อิตาลี-ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ มันแห้งจนไฟป่าเผาไปวอดวายมหาวินาศ เม็กซิโก-บราซิล ทั้งข้าวโพด ทั้งอ้อย ทั้งสัตว์เลี้ยง "ไม่มีน้ำซักหยด" มารดราก และลิ้น

"เอลนิโญ" สำแดงเดชแล้ว น้ำแถบเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังถูก "ภาวะโลกร้อน" เผาจนกลายเป็นมหาสมุทรน้ำเดือดบนเตาไฟไปแล้ว เป็นผลให้สภาพดินฟ้าอากาศทั่วโลกแปรปรวน สิ่งที่จะเกิดเป็นรูปธรรมให้เห็นด้วยตา จับต้องได้ "ด้วยชีวิต" เรียกกันในคำรวมว่า

"ภัยธรรมชาติ"!?

มันมาแน่ และมันมาแล้ว ถ้าพูดในมุมบวก บนความเห็นแก่ชาติตัวเองนิดหน่อย ผมก็อยากจะบอกว่า "พี่น้องเกษตรกรไทยเรา เตรียมตัวรวยกันแต่เนิ่นๆ เถอะครับ"

เพราะในความวิบัติ-ยับเยินจาก "ภัยธรรมชาติ" บนภาวะเอลนิโญ การผลิตอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะการเพาะปลูกจะพบอุปสรรค

ส่วนไทยเรา ถึงแม้จะหนีจากภัยเอลนิโญไม่พ้น แต่ในความล้นพ้นเหลือเฟือ เสียแล้วยังเหลือกิน-เหลือใช้ พร้อมขาย พร้อมแจกจ่ายประเทศอดอยากทั่วโลก

ตั้งสติให้ดี อย่ามีรัฐบาลโง่ รัฐมนตรีงั่ง และข้าราชการฝังเขี้ยว เท่านั้นแหละ พี่น้องเกษตรไทยจะหน้าใสกันถ้วนหน้า เลิกพูด เลิกสนใจ เลิกรอกินก๋วยเตี๋ยวฟรีจาก "แม้ว-ขี้โม้" ที่เอาน้ำตาลกรวดมาถ่ายรูปโชว์เป็น "เพชรเหมืองแม้ว"

เก็บเอาไปทำกระพรวนปลอกคอ ๓ เกลอหัวขวดเขาเถอะ!

มาพูดถึงมุมลบที่ไทยเราอาจต้องได้รับบ้าง จากเอลนิโญ ฝนที่เคยตก-ฝนจะแล้ง, จากที่น้ำไม่ท่วม-จะมิดหลังคา ฉะนั้น นับจากนี้ไป อย่ามัวสนุกกับงานจ๊อบรับจ้างใส่เสื้อสี ตีตีนตบอยู่เลย ในภาคเหนือ-ภาคอีสาน เพื่อความไม่ประมาท เตรียมการรับมือทั้งจากพายุฝน และทั้งจาก...น้ำโขง

สำหรับพี่น้องทางภาคใต้ ไม่ต้องพูดถึง หลายจังหวัดจมฝน-จมน้ำตามฤดูกาลอยู่แล้วในเวลานี้ ห่วงแต่พี่น้องอีสานและเหนือเท่านั้น ผมไม่บอกให้เลิกบูชาแม้วหรอก แต่อยากจะบอกว่า เก็บรักทักษิณไว้ชั่วคราว แล้วหันมารักตัวเอง รักครอบครัวตัวเอง รักสมบัติข้าวของตัวเองก่อน

เพราะ "ภัยจากน้ำ" มันมาแน่!

ลองน้ำท่วมมองโกเลีย ผมว่าในบางมณฑลของจีนยากจะหนีวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ผมก็เลยหวั่นใจถึงประเทศริมฝั่งโขง อย่าง ลาว-เขมร-ญวน นั่นก็เรื่องเขา แต่เรื่องเรา คือประเทศไทยเรา โดยเฉพาะทางเหนือที่เชียงราย และทางอีสานตลอดรายทางที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ผมกลัวว่า จีนจะปล่อยน้ำจากเขื่อนตอนบนบ่าท้นลงมาท่วมทับพื้นที่ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไทยเราด้วยนี่ซี

ผมถึงว่า ถ้าน้ำมาเที่ยวนี้ละก็ จะมาแบบ จ้อกโครม...จ้อกโครม เลยทีเดียว ไม่มาแบบหวานซึ้ง "สุขจริง อิงกระแสธารา" แน่ๆ!

เพราะท่านต้องทราบนะครับว่า เวลานี้จีนได้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ นอกจากสร้างเขื่อนกั้นกระแสน้ำตามลำน้ำต่างๆ แล้ว ยังให้สัมปทานเอกชนสร้าง "เขื่อนแม่น้ำหลานซาง" ประกอบด้วยเขื่อนต่างๆ ๘ เขื่อน "กั้นแม่น้ำโขง" จากจำนวนทั้งหมด ๑๕ เขื่อน เสร็จไปแล้ว ๒-๓ เขื่อน คือเขื่อนมานวาน เขื่อนต้าเจ้าซัน และเขื่อนจิงหง

เขื่อนจิงหงนี่ คิดว่าคุ้นชื่อกันดี เพราะกั้นแม่น้ำโขงอยู่เหนือเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ในเขตมณฑลยูนนานนี่เอง ใกล้กับบ้านเรามาก ตอนนี้เดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว

ที่กำลังสร้าง และกำลังจะเสร็จคือ "เขื่อนเซี่ยวหวาน" ซึ่งใหญ่โตมโหระทึกจริงๆ ใครที่ยังไม่เคยกินปลาบึก ไม่เคยกินไค หรือสาหร่ายน้ำจืด ก็รีบๆ หากินซะ เพราะอีกไม่ช้า-ไม่นาน ด้วยบทบาท "จีนทดน้ำโขง" จะเปลี่ยนระบบนิเวศ และวิถีผู้คนสองฝั่งโขงนี้ไปจนหมด ไม่ว่าคนไทย คนลาว คนพม่า คนญวน และคนเขมร

"โตนเลสาป" ของเขมรที่ขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์น่ะ เมื่อโครงการเขื่อนหลานซางนี้เสร็จหมด มีหวังจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทรายทีละน้อย...ทีละน้อย เพราะเขื่อนนี้จะควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว!

น้ำน้อยก็กัก ใครอยู่ท้ายน้ำก็อดแห้ง-อดแล้ง น้ำล้นก็ปล่อย ใครอยู่ท้ายน้ำก็จมน้ำท่วมหัว-ท่วมหู นี่แหละ ผมจึงอยากให้ระวังกันไว้ เพราะสังเกตว่าน้ำมันจะมาเกินความต้องการ จีนก็จะเปิดเขื่อนระบายน้ำเอาตัวรอด แล้วพวกประเทศท้ายเขื่อนอย่างเรา เชียงราย-เหนือ, หนองคาย-อีสาน เป็นต้น

มันจะจมน้ำป๋อมแป๋มเอาน่ะนา ถ้าภาวะเอลนิโญแผลงฤทธิ์ใส่จีน!?

.....

ของฟรีไม่มีในโลก

บทบรรณาธิการ แนวหน้า



โลกนี้ไม่มีของฟรี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีต้นทุน ดังนั้นผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่า ได้ของฟรี มีลาภลอย จึงเป็นผู้ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง

ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของสังคมด้อยพัฒนาล้าหลังทางความคิด คือ ประชากรในสังคมเช่นนี้ มักถูกมอมเมาด้วยอำนาจรัฐให้หลงใหลเคลิบเคลิ้มในเรื่องของฟรี คิดว่าไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายก็จะมีข้าวของเงินทองร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า

เหตุผลประการสำคัญที่รัฐบาลซึ่งมีจิตคิดไม่ซื่อ มักจงใจมอมเมาประชาชนด้วยกลอุบายนี้ก็เพราะ ไม่ต้องการเห็นประชาชนมีความเข้มแข็ง เพราะหวาดวิตกว่าจะครอบงำความคิดและพฤติกรรมของประชาชนไม่ได้อีกต่อไป

จึงไม่ต้องประหลาดใจที่นักเลือกตั้งของไทยชอบหว่านเงินให้กับประชาชน พร้อมๆ กับการออกนโยบายแหกตาด้วยการลด แลก แจก แถม และให้ฟรีสารพัดสารพันจนจำไม่หวาดไม่ไหว

รัฐบาลสมควรจะต้องรู้ว่าการหว่านเงินให้กับสังคมโดยไร้สติยั้งคิด การโปรยเงินให้กับชุมชนโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยไม่สนใจว่าเงินที่หว่านลงไปนั้นจะก่อประโยชน์อย่างถาวรกับชุมชนหรือไม่ อีกทั้งยังไม่มีวิธีการตรวจสอบและวัดประสิทธิภาพประสิทธิผลการใช้เงินอย่างเป็นรูปธรรม เหล่านี้คือ ต้นตอแห่งความหายนะของสังคม

น่าสังเวชที่ทุกรัฐบาลพยายามหลอกลวงประชาชนด้วยของฟรีที่เป็นภาพลวงตา เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับคะแนนนิยมทางการเมือง โดยหวังผลสุดท้ายแค่เพียงให้ตนเองได้กลับไปยึดครองอำนาจรัฐ

ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเตือนสติประชาชนผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และนักเลือกตั้งผู้มีจิตคิดฉ้อฉลปล้นแผ่นดิน โปรดอย่างหลอกตัวเองต่อไปอีกเลย โปรดกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงเสีย โปรดจำไว้ว่าของฟรีไม่มีในโลก

รัฐบาลที่มีความรักและหวังดีอย่างแท้จริงกับประชาชนต้องกล้าพูดความจริง แม้ความจริงนั้นอาจจะเป็นสิ่งเจ็บปวดและบาดหูบาดใจผู้ฟังก็ตาม รัฐบาลต้องกล้าบอกประชาชนว่า บรรดาของฟรีที่จงใจเอามามอมเมาประชาชนนั้นล้วนแล้วแต่มีต้นทุน เงินทองที่รัฐบาลใช้หว่านเพื่อแจกของฟรีก็มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน แล้วเงินงบประมาณแผ่นดินก็มาจากภาษีอากรของประชาชน

ในสภาพความเป็นจริงก็คือ รัฐบาลกำลังประสบปัญหาสาหัสในการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน แต่ก็กลับใช้จ่ายเงินที่ไม่ค่อยจะมีอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีเหตุผล โดยนำไปจ่ายอย่างไร้ความรับผิดชอบในนโยบายหลอกลวงมอมเมาประชาชน ภายใต้ภาพมายาประชานิยม

ขอให้นักเลือกตั้งได้โปรดยุติการใช้นโยบายหลอกลวงประชาชน ยุติการเหยียบหัวประชาชนขึ้นไปครอบครองอำนาจรัฐ ก่อนที่สังคมไทยจะล่มสลาย โปรดยุติการปลูกฝังนิสัยเห็นแก่ได้และมักมากให้ประชาชน โปรดอย่าทำให้ประชาชนกลายเป็นคนพิการง่อยเปลี้ย เสียขา ปัญญาอ่อน

อย่าทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนด้วยของฟรี แต่จงช่วยพัฒนาศักยภาพให้พลเมืองไทยรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของตน สามารถยืนด้วยลำแข้งของตนได้อย่างสมศักดิ์ศรี อย่ามองประชาชนเป็นเสมือนตัวตลกผู้โง่เขลาเบาปัญญา จงจำไว้ว่าการทำให้พลเมืองอ่อนแอคือการจงใจทำลายประเทศไทย

วันที่ 28/8/2009

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หยุดบ่อนทำลายชาติเพื่อทักษิณ

บทบรรณาธิการ แนวหน้า

ทั้งๆ ที่บ้านเมืองยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องการเสถียรภาพทางการเมืองเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อภาพพจน์ของประเทศในสายตานานาชาติ และยังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องแก้ไขเพื่อนำพาบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้าและหลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ขบวนการคนเสื้อแดงที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหวตีรวนป่วนเมือง และพยายามที่จะสร้างสถานการณ์จุดไฟเผาบ้านป่วนเมืองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองแม้แต่น้อย

ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์ รวมทั้ง สำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนสภาหอการค้าไทย ต่างออกมาชี้อย่างสอดคล้องกันว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างชัดเจน แต่ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญก็คือ ปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งเต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวายโดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่นและฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้รุดหน้าไปอย่างที่ควรจะเป็น

ก่อนหน้านี้ ขบวนการคนเสื้อแดงจากการปลุกปั่นของอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นนักโทษหนีความผิดคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ได้ก่อเหตุร้ายบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียน 10 บวก 3 บวก 6 ที่พัทยา และก่อจลาจลทั่วกรุงเทพมหานคร ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาพพจน์ของประเทศอย่างยับเยินมาแล้ว และยังไม่ละความพยายามที่จะก่อเหตุการณ์รุนแรงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลและสิ่งที่เรียกว่าอมาตยาธิปไตย

การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงภายใต้การบงการของพ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายที่แท้จริงก็คือ ต้องการฟอกผิดคดีทุจริตทั้งหมดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ รวมทั้งทวงคืนทรัพย์สินมูลค่า 76,000 ล้านบาท ที่ถูกฟ้องยึดตกเป็นของแผ่นดิน ตลอดจนหวังที่จะฟื้นระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

ล่าสุด การที่ขบวนการคนเสื้อแดงภายใต้การปลุกระดมของ พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมเคลื่อนไหวด้วยการแต่งชุดดำไว้ทุกข์และยกขบวนไปประท้วงหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งเตรียมชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ เพื่อขับไล่รัฐบาล ท่ามกลางรายงานข่าวกรองของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่แสดงความวิตกว่าขบวนการเสื้อแดงกำลังจะสร้างสถานการณ์เผาบ้านป่วนเมืองครั้งใหม่ จนรัฐบาลต้องเตรียมออกพระราชบัญญัติความมั่นคงเพื่อคอยรับมือกับเหตุการณ์รุนแรงที่ตั้งเค้าทมึน

ทั้งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วรากเหง้าต้นตอของเหตุการณ์รุนแรงและการเคลื่อนไหวที่บ่อนทำลายชาติบ้านเมืองในช่วงที่ผ่านมา ล้วนมีสาเหตุและเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลเพียงคนเดียวนั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีขบวนการคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังเริ่มจะเข้าที่เข้าทางเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขและเดินไปข้างหน้าเสียที หลังจากที่บอบช้ำอย่างหนักมามากแล้ว ขณะเดียวกันก็คงอยากเรียกร้องไปยังอดีตนายกรัฐมนตรีและบรรดาขบวนการคนเสื้อแดงว่าเมื่อไหร่จะเลิกบ่อนทำลายเผาบ้านป่วนเมืองเพื่อตัวเองเสียที

วันที่ 27/8/2009

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โจทย์ใหม่กับการลดการแบ่งขั้ว

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com


ช่วงที่ผ่านมามีความพยายามจากฝ่ายต่างๆ ที่จะตั้งโจทย์และเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งขั้ว แบ่งฝ่ายที่เกิดขึ้นในทางการเมืองและสังคม แต่ส่วนใหญ่มักตั้งโจทย์แคบๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ฯลฯ ซึ่งข้อเสนอต่างๆ เน้นไปที่ผลประโยชน์ของนักการเมืองเป็นหลัก

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มอบหมายให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ที่ดีอาร์ไอ) ทำวิจัยในหัวข้อ "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง" ซึ่งข้อเสนอการวิจัยดังกล่าวได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ จึงขอสรุปแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าวนำเสนอโดยสังเขป

ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ในด้านหนึ่งเศรษฐกิจผูกขาด เช่น ระบบสัมปทานต่างๆ ซึ่งอิงกับอำนาจรัฐ ก่อให้เกิดส่วนเกินทางเศรษฐกิจหรือค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (economic rent) มหาศาลและชักนำให้นักธุรกิจหลายกลุ่มที่มีแหล่งรายได้หลักจากสัมปทานเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และได้รับชัยชนะในระบบการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินทุนสูง

ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจในระดับที่สูง และการที่ประเทศไทยมีแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการจำนวนมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขาดสวัสดิการที่ได้รับจากการทำงาน และต้องการความช่วยเหลือจากรัฐทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา การเข้าถึงสินเชื่อ ฯลฯ

ปัจจัยทั้ง 2 ด้านทำให้นักการเมืองบางกลุ่ม ประสบความสำเร็จในทางการเมืองอย่างสูงโดยใช้ "นโยบายประชานิยม" ซื้อใจคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง

นอกจากนั้น ก็อาศัยอำนาจการเมืองที่ได้จากการเลือกตั้งมาใช้ปกป้อง เพิ่มพูนผลประโยชน์ทางธุรกิจ และสร้างอำนาจผูกขาดให้ธุรกิจของพวกพ้อง ตลอดจนแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจจากนโยบายสาธารณะและมาตรการต่างๆ ของรัฐ ทั้งในระบบงบประมาณ และนอกระบบงบประมาณ

ปัญหาการผูกขาดและความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจจึงมีผลกระทบโดยตรง รวมถึงการใช้ "นโยบายประชานิยม" แบบขาดวินัยทางการคลัง ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมีเสถียรภาพ

ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อลดส่วนเกินและลดความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการปฏิรูปกฎกติกาและสถาบันทางการเมืองอย่างที่เคยดำเนินการมา

เอกสารได้ยกตัวอย่างผลงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า การปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างมั่นคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ได้ ซึ่งทำได้โดยการลดความร่ำรวยมหาศาลที่กระจุกตัวในคนกลุ่มน้อยจากการได้รับส่วนเกินทางเศรษฐกิจต่างๆ ควบคู่ไปกับเพิ่มรายได้และสวัสดิการสังคมให้คนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนนโยบายประชานิยมไปสู่การให้สวัสดิการพื้นฐานตามแนวคิดของรัฐสวัสดิการ

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงจะต้องไม่รุนแรงเกินไปจนก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดการล้มกระดานของชนชั้นสูงที่เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยทำให้ตนต้องเกิดความสูญเสียมากกว่าทางเลือกอื่น ซึ่งการโอนถ่ายทรัพยากรระหว่างกลุ่มคนไม่มากเกินไป เช่น ต้องไม่กระทบระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากการถูกยึดทรัพย์ โดยไม่มีเหตุผลสมควร ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่น้อยเกินไปสำหรับคนจนและคนชั้นกลางระดับล่าง

นอกจากนี้ กระบวนการดังกล่าวต้องมีความชอบธรรม เช่น ไม่ปิดโอกาสในการสร้างฐานะจากการทำงานโดยสุจริต แต่ลดโอกาสในการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ขณะเดียวกัน รัฐสวัสดิการจะคงอยู่รอดได้ หากเศรษฐกิจของประเทศมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน จากการที่ภาคการผลิตมีการยกระดับผลิตภาพ (production upgrading) อย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายของรัฐถูกควบคุมอยู่ภายใต้กรอบทางการคลังที่โปร่งใสและมีวินัย

งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกระจุกตัวของทรัพย์สิน กับการกระจุกตัวของอำนาจการเมือง โดยการจัดทำแผนที่ของค่าเช่าทางเศรษฐกิจ การนำเสนอแนวนโยบายการลดหรือการควบคุมค่าเช่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการจำกัดพฤติกรรมดังกล่าวที่จะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจและการเมือง

ส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจที่จะหยิบยกมาศึกษามีด้วยกัน 5 ด้าน ได้แก่ การผูกขาดทางเศรษฐกิจ การแทรกแซงตลาด เช่น ตลาดสินค้าเกษตร การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง/สัมปทานของรัฐ การใช้อิทธิพลในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลลวงในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนั้น จะศึกษาเรื่องมาตรการการคลังเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ประโยชน์จะต้องมีการผลักดันให้ผู้นำทางการเมืองนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้เกิดผลด้วย

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลูบคม (เลียบวิภาวดี)

โดย กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

ผู้ที่กล้า "ลูบคม" ซามูไร ต้องถือว่าเป็น "คนเก่ง" และผู้ที่กล้า "ลูบคม" กระบี่มังกรฟ้า ต้องถือว่าเป็น "คนจริง"

เพราะทั้งซามูไรและกระบี่ที่ไร้ฝัก ล้วนสามารถทำให้จอมลูบคมเกิดแผลเหวอะหวะได้ทันทีทันใด และอาจไปไกลถึงขั้นถูกตัดหัวคั่วแห้งจนกลายเป็นศพ

แต่ตุ๊กแกเฒ่าสีกากีที่บินด่วนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่พร้อมกับพายุมรกตเป็น "คนใจถึง" ระดับ "คนเก่ง" และ "คนจริง" จึงกล้า "หักหน้า" ผู้นำประเทศ จึงกล้า "หยามน้ำใจ" เจ้านายที่มีอำนาจสั่งลงโทษตนเองได้

แท้จริงคนไทยทั้งประเทศต่างประจักษ์แจ้งถึงความ "ใจเด็ด" ของหล่อใหญ่มาแล้วจากยุทธภูมิ "สงกรานต์ทมิฬ" ที่กองทัพแดงดิบเถื่อนต้องพ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้ทั้งในสมรภูมิชลบุรีและสมรภูมินครหลวง

แม้แต่นายใหญ่ของชาวเสื้อแดงที่อยู่ไพรัชประเทศ ก็กลายเป็นดาวตลกให้คนทั่วโลก เข็มขัดหลวมกับการโต้ตอบกับนักข่าวแข่งกับโอบามาร์คแบบ "โต้กันไปมา" โดยคนหนึ่งโกหกอย่างลุกลี้ลุกลน แต่อีกคนมั่นคงอย่างเชื่อมั่น

วันนั้น กอร์ดี้มาร์คกลายเป็นวีรบุรุษที่ "หน้าอ่อนแต่ใจเด็ด" มีภาวะผู้นำเต็มร้อย

ตุ๊กแกเฒ่ารู้เช่นนี้แล้ว ยังกล้า "หยามน้ำใจ" ยังกล้าหักด่านข้อตกลงที่ให้ไว้กับเจ้านาย ทำตัวเป็น "ศรีธนญชัยไม่กลัวหัวขาด" ย่อมแสดงว่า ตุ๊กแกเฒ่ามีดีถึงสามเด้ง มีความมั่นใจถึงสามเปลาะ

เด้งที่หนึ่ง ตุ๊กแกเฒ่าเชื่อว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคุ้มครองตนเป็นผู้ที่กอร์ดี้มาร์คเกรงใจ เห็นได้จากครั้งที่ตนใส่เกียร์ว่างที่ชลบุรีในงานประชุมระดับผู้นำนานาชาติ และปล่อยให้นายกฯ เกือบถูกฆ่าตายที่มหาดไทย กอร์ดี้มาร์คก็ทำอะไรตนไม่ได้ เพราะผู้ยิ่งใหญ่ที่คุ้มครองตนไม่อนุญาต

เด้งที่สอง ผู้จัดการรัฐบาลที่ซี้กับตนเป็นผู้มีพระคุณกับหล่อใหญ่จะต้องอุ้มตนให้ปลอดภัยอยู่ในตำแหน่งตลอดรอดฝั่ง แม้ตนจะหักหน้ากอร์ดี้มาร์คอย่างไร เด็กมาร์คก็ไม่กล้าหือกับผู้จัดการใหญ่

เด้งที่สาม โดยธรรมชาติของกอร์ดี้มาร์ค เป็นผู้ทำทุกอย่างตามครรลองของกฎหมาย และเป็นผู้ที่ระมัดระวังยิ่งไม่ยอมเสี่ยงภัยทำสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ ดังนั้นหากตนเองหักดิบเจ้านายด้วยกฎเกณฑ์ที่กฎหมายคุ้มครอง เด็กมาร์คจะทำอะไรตนได้

คิดสาระตะด้วยประการฉะนี้แล้ว ตุ๊กแกเฒ่าจึงต้องกลับมากกไข่จงอางที่ยังฟักไม่เป็นตัวให้สำเร็จลุล่วง จะต้องกลับมาทำภารกิจใหญ่ให้ตำรวจในคาถาได้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ

เมื่อการ "ลูบคม" ครั้งนี้มียันต์คุ้มครองอย่างดีถึงสามเด้ง เหตุใดตุ๊กแกเฒ่าจะไม่แลกหมัดเล่า

ก็ต้องมาติดตามดูฉากต่อไประหว่างลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของตุ๊กแกเฒ่า กับ ลูกเด็ดของเด็กมาร์คผู้ไม่กลัวตาย ใครจะโหดกว่ากัน




วันที่ 12/8/2009

การซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ

บทบรรณาธิการ แนวหน้า

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนจะเป็นช่วงที่แต่ละหน่วยราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน รวมไปถึงรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง จะมีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และพนักงานของแต่ละหน่วยตามปกติ เพื่อเป็นการทดแทนอัตราตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องมาจากการครบเกษียณอายุของบุคลากรในหน่วยราชการเหล่านั้น

การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจจะดำเนินกันตามระเบียบปฏิบัติและกฎหมายที่แต่ละหน่วยราชการนั้นๆ ได้บังคับใช้อยู่โดยมักจะอ้างว่าการแต่งตั้งโยกย้ายแต่ละครั้งจะเป็นไปตามระบบคุณธรรมที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ระบบเมอริตซิสเต็ม"

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงในประเทศเรานั้น การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการมักจะมีข่าวเรื่องของระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นเสมอ แม้จะอ้างว่าการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการแต่ละคนเป็นไปตามระบบอาวุโส ระบบคุณธรรม ความรู้ความสามารถและความเหมาะสมควบคู่กันก็ตามแต่ก็คงหนีเรื่องระบบอุปถัมภ์ไปไม่พ้น แม้ในระบบราชการจะมีการให้คำนิยามถึงค่าของคนอยู่ที่ผลงานของบุคคลคนนั้นก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงนั้นหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจมักจะคำนึงถึงข้อที่ว่าค่าของคนอยู่ที่บุคคลคนนั้นเป็นคนของใครเป็นหลัก

ด้วยเหตุนี้การเลื่อนตำแหน่งและการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแต่ละครั้งมักจะปรากฏข่าวออกมาว่ามีเรื่องของระบบอุปถัมภ์ รวมไปถึงเรื่องของการซื้อขายตำแหน่งหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอๆ แทบจะทุกปีโดยเฉพาะข้าราชการตำรวจนั้นมักจะมีข่าวในทำนองดังกล่าวเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานนับสิบๆ ปีแล้ว

เนื่องจากข้าราชการตำรวจนั้นเป็นข้าราชการที่สามารถให้คุณให้โทษทางตรงในสังคมมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา เนื่องจากมีการโอนอำนาจการสอบสวนคดีอาญาไปให้ข้าราชการตำรวจเป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงฝ่ายเดียว

นั่นก็คือ เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ทั้งการปราบปราม การสืบสวนจับกุมไปจนถึงการสอบสวนคดีด้วย

แทนที่จะให้อำนาจในการสอบสวนเป็นของข้าราชการหน่วยอื่นเช่น พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวนคดีอาญาโดยตรงเหมือนในต่างประเทศ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจของเรามีอำนาจในคดีอาญามากเช่นนี้เอง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการซื้อขายตำแหน่งในราชการตามมาในที่สุด

ความเป็นจริงในปัจจุบันนี้ยังมีข่าวว่าข้าราชการสายงานอื่นๆ และพนักงานรัฐวิสาหกิจในบางหน่วยมีการใช้เงินและของกำนัลต่างๆ ซื้อขายตำแหน่งเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นับเป็นเนื้อร้ายในระบบราชการของเรายังผลให้ประเทศไม่เจริญก้าวหน้าจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องร่วมกันแก้ปัญหานี้ต่อไป

วันที่ 12/8/2009

แม่เราเมื่อเก่าก่อน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผ่านภาพปกและบทความจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่หาชมได้ยาก อันเป็นส่วนหนึ่งของ นิทรรศการ World Focus & Thai Focus ซึ่งจัดแสดงระหว่างวันนี้ – 11 ตุลาคม พ.ศ.2552 ณ ชั้น 4 ของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน เพื่อร่วมฉลองเปิดหอศิลป์อย่างเป็นทางการ โดยภาพที่นำมาจัดแสดงได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT), อเนก นาวิกมูล และธงชัย ลิขิตพรสวรรค์
































วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Mind Map จัดระเบียบสมอง


โดย จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา

อยากเรียนเก่งต้องหัดเขียนมายแมพ

เครื่องมือไม่มีอะไรมาก แค่กระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น ดินสอหนึ่งแท่ง เผื่อยางลบไว้ด้วยก็ดี ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มวาดแผนที่ความคิดกันเลย!

ใครๆ ก็อยากเรียนเก่งเป็นแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ อยากฉลาดเหมือนนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก อยากพูดโน้มน้าวใจคนเก่งอย่างนักขายมืออาชีพ อยากเป็นพิธีกรที่พูดได้คล่องแคล่ว ไม่ติดขัด แถมยังโชว์มุกขำเรียกเสียงฮา ทุกคนฝึกฝนได้และทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีไอคิว 180 หรือมีมันสมองระดับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ขอแค่จัดระเบียบความคิดให้เป็นระบบก็พอ พูดง่าย แต่ทำให้ได้ต้องฝึกฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เคยฝึกจัดลำดับการทำงาน หรือพวกที่คิดฟุ้งซ่าน นึกจะทำก็ทำ นึกจะเลิกทำก็เลิก

ดำเกิง ไรวา วิทยากรจากบริษัท บูซาน ประเทศไทย จำกัด แนะเทคนิคเริ่มต้นฝึกฝนกระบวนการ "สร้างแผนที่ความคิด" ด้วยเกมง่ายๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เล่นกันในครอบครัว พี่น้องได้ เหมือนกับรายการเกมโชว์ทางทีวี

ลองสมมุติสถานที่เที่ยวขึ้นมาสักแห่งจะเป็นหัวหิน ดอยอินทนนท์ หรือวางแผนกางเต็นท์เขาใหญ่ก็ได้ จากนั้นให้ทุกคนที่ร่วมเล่นเกมช่วยกันคิดว่าควรจะเอาของอะไรติดตัวไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็น เต็นท์ เสื้อกันหนาว รองเท้าผ้าใบ ไฟฉาย จนกระทั่งได้สิ่งของทั้งหมดกว่า 30 ชิ้น จดลงบนกระดาษ แล้วคว่ำกระดาษลงบนโต๊ะให้ทายสิ่งของทั้ง 30 ชิ้นตามลำดับ

การฝึกคิดแบบมายด์แม็พให้เริ่มถกกันตั้งแต่สถานที่เที่ยว และของที่จะนำไปเป็นชิ้นแรก เรียงลำดับมาจนถึงชิ้นสุดท้าย และแทนที่จะเขียนชื่อสิ่งของให้วาดเป็นรูปสัญลักษณ์แทนสิ่งของลงบนกระดาษเปล่าไม่มีเส้น

“เด็กไทยส่วนใหญ่ถูกสอนมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ให้จดบันทึกข้อมูลทั้งหมดเรียงตามลำดับ สิ่งที่ได้คือข้อมูลที่ครบถ้วน แต่จำยาก ยิ่งจดไม่เป็นหมวดหมู่ยิ่งหายาก"

เครื่องมือจัดระเบียบความคิดที่เรียกว่า มายด์แม็พจึงช่วยจำ ช่วยฝึกคิดได้ตลอดเวลา และยังสนุกกับการคิด สนุกกับการจำ ยิ่งสนุกยิ่งอยากจำ อยากคิด

มายด์แม็พเป็นผลงานของนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ชื่อ โทนี บูซาน เขาให้ความหมายของ Mind Map ไว้เมื่อปี 2517 ว่าคือแผนที่เส้นทางอัจฉริยะ เปรียบเสมือนลายแทงที่นำไปสู่การจดจำและการเรียบเรียง จัดระเบียบข้อมูลตามธรรมชาติการทำงานของสมองตั้งแต่ต้น หากสร้างแผนที่ความคิดได้การจำและการฟื้นความจำเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว หรือเรียกข้อมูลกลับมาในภายหลังทำได้ง่าย ถูกต้องแม่นยำมากกว่าการใช้เทคนิคการจดบันทึกแบบเดิม หรือท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง

"เคยนึกอะไรออกเวลาอาบน้ำ หรือระหว่างขับรถ คิดว่าจำได้ แต่พอไม่ได้จด มานึกอีกทีก็ลืมคิดไม่ออก แต่พอลองนึกออกมาเป็นภาพ ช่วยให้นึกได้เร็วขึ้น"

ดำเกิงเริ่มทำความรู้จักกับมายด์แม็พจริงจัง ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ โดยคิดหาวิธีทำอย่างไรให้เรียนเก่ง จดจำเนื้อหาในหนังสือได้อย่างแม่นยำ เริ่มต้นจากหนังสือของอาจารย์ธัญญา ผลอนันต์ ผู้ที่นำเทคนิคมายด์แม็พจากประเทศอังกฤษเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นคนแรก จากนั้นก็ใช้มายด์แม็พมาตลอด 8 ปี กระทั่งปัจจุบัน พบว่าตนมีทักษะพูดโน้มน้าวใจคน โดยใช้เวลาไม่กี่นาที สามารถจำคนจำนวนมาก ได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการฝึกฝน

“คนที่คิดแบบมายด์แม็พจะมีความคิดที่แตกแขนงไปได้มากกว่า จำได้ สื่อสารเรียนรู้ได้เร็วกว่า มายด์แม็พเป็นเครื่องมือช่วยฝึกสมองความจำได้อย่างดี”

แผนที่ความคิดไม่ได้ใช้เพื่อฝึกจดจำตำราได้เท่านั้น แต่ยังนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้หลายด้าน การพูด นำเสนองาน หากจัดลำดับความคิดเป็นมายด์แม็พ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ทำให้ระบบงานแข็งแรงขึ้น วางแผน เป้าหมาย สื่อสารกันเองในองค์กร นำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมการพูด เจรจาต่อรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ผมว่าคนหันมาเขียนมายด์แม็พเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคของข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และเราต้องการจัดการกับข้อมูลเยอะในเวลาที่มีอยู่จำกัด” เขากล่าว และว่า มายด์แม็พช่วยได้จิปาถะไม่ติดขัดอายุอานาม

ดำเกิงบอกว่า มายด์แม็พสามารถประยุกต์ใช้ได้ร้อยแปดพันประการไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการจำ ระบบการทำงาน วางแผน ตั้งเป้าหมาย การสื่อสาร การนำเสนอ ระดมสมอง ตัดสินใจ เจรจาต่อรอง การบริหารโครงการ ตลอดแก้ปัญหาความขัดแย้งในองค์กร เป็นต้น

"ผมคิดว่าสิ่งที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวันสามารถนำมาเขียนเป็นมายด์แม็พได้หมด” วิทยากรมายด์แม็พกล่าว

ถึงแม้ว่าเทคนิคมายด์แม็พสามารถหาอ่าน และเรียนรู้ได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ แม้แต่คลิปวิดีโอบนยูทูป เพียงพิมพ์คำค้นว่า Mind map ลงไป คลิปตัวอย่างฝึกมายด์แม็พออกมาเป็นพะเรอเกวียน แต่ก็ใช่ว่าดูคลิป หรือเข้าคอร์สแล้วจะทำได้เชี่ยวชาญกันข้ามชั่วโมง การเขียนแผนที่ความคิดเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันอยู่เสมอจนเป็นไปตามธรรมชาติ

สำหรับคนเริ่มต้นอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มายด์แม็พช่วยเรียนรู้กระบวนการได้ง่าย สะดวก และเป็นระเบียบ ข้อมูลมีหลายมิติ สามารถโยกย้าย แก้ไขข้อผิดพลาด ส่งต่อเป็นไฟล์ผ่านอีเมลได้อย่างรวดเร็ว

เทคนิคสำคัญสำหรับการเขียนมายด์แม็พ ดำเกิงมองว่า ผู้ใช้ต้องฝึกจินตนาการ ฝึกเชื่อมโยงภาพกับข้อมูล การเขียนมายด์แม็พโดยใช้ภาพสื่อสารแทนข้อความ จะช่วยให้การจดจำแม่นยำยิ่งขึ้น

เริ่มต้นจากวางกระดาษในแนวนอนให้กวาดสายตาดูได้อย่างสะดวก วาดโลโก้ของตัวเองไว้ตรงกึ่งกลางของกระดาษ จากนั้นค่อยๆ ลากเส้นเชื่อมโยงความคิดจากตัวเองออกมาเป็นเส้นรัศมี สำหรับคำที่ใช้ ควรเป็นคำที่สั้น ได้ใจความ ไม่เยิ่นเย้อ เพราะพื้นที่บนหน้ากระดาษของมายด์แม็พมีค่ามหาศาล เพราะสามารถย่อยข้อมูลที่มีหลายหน้าให้อยู่ในหน้าเดียว วิธีการอ่านมายด์แม็พให้อ่านจากด้านในไปด้านนอก

“มายด์แม็พเปรียบได้กับ มีดพก Swiss Army ที่มีอุปกรณ์เล็กๆ ซ้อนอยู่ โดยหลายคนใช้มายด์แม็พเป็นเครื่องมือสำคัญระดมสมอง แม้ความคิดแรกๆ มักจะฟังดูไม่เข้าท่า แต่ก็ไม่ควรมองข้ามเพราะความคิดแรกๆ มันต่อยอดไปสู่ไอเดียอื่นที่เป็นเป้าหมายในที่สุด” นักสร้างแผนที่ความคิด กล่าว

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

@ เจ้ากรรม-นายเวร @

โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

@ เจ้าก่อกรรม ทำกรรม เป็นความผิด
ทุจริต บ้านเมือง ถึงเคืองเข็ญ
ล้วนสาหัส มากมาย หลายประเด็น
เจ้าจึ่งเป็น “เจ้ากรรม” มิใช่ใคร

ผู้รับกรรม ซ้ำซาก อยู่หนักหนา
คือประชา ตาดำดำ ถูกยำใหญ่
ส่วนนายผู้ รู้เห็น ความเป็นไป
แต่ไม่ยอม ทำอะไร แหละ“นายเวร”

เจ้าก่อกรรม จะ“ตัดกรรม” กระไรได้
ตกกระได พลอยโจน โดนตาเถร
เล่นคว่ำบาตร หงายบาตร ประหลาดพิเรนทร์
ไม่เคยมี ก็มาเกณฑ์ ให้เป็นมี

มารับผล กรรมเก่า เถิด “เจ้ากรรม”
มารับโทษ ที่กระทำ ขะลำผี
เทวดา ฟ้าดิน ได้ยินดี
เป็นเศรษฐี ฟอกถ่าน อายบ้านเมือง

ส่วน“นายเวร” เล่นอะไร ยังไม่รู้
จะออกหมู่ ออกจ่า ล้วนหน้าเหลือง
กระดานเก่า หมากเก่า ก็เปล่าเปลือง
เป็นขิงอ่อน เคี้ยวเอื้อง เยื้องยึกยัก

สงสารแต่ ปวงประชา ต้องหน้าดำ
ทั้งโรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติหนัก
ระวังเถิด “นายเวร” เล่นล้วงลัก
จะถูกผลัก ให้เป็น.... ไอ้เวรตะไล!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
จ. ๒๗ / ๗ / ๕๒











ดึงฟ้าต่ำ

































"ฎีกาเสื้อแดง"กับการรับมือที่"ไร้สติ"
โดย

ที่จริงแล้ว "เรื่อง-ทุกเรื่อง" เมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมมี "ทางออก-ทางไป" ของมันอยู่ในตัว ภาษาพระบอกว่า "เป็นไปตามเหตุปัจจัย" ภาษาหนังกำลังภายในบอกว่า "มาทางไหน-ไปทางนั้น" ภาษาชาวบ้านบอกว่า "เมื่อสานก้นได้ก็ต้องไปถึงขอบ" เมื่อใคร่ครวญเช่นนี้แล้ว ผมจึงแปลกใจว่า ทำไม...ใครต่อใครทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์ จึงได้วิตกทุกข์ร้อนและกระวนกระวายกันนักในกรณี "เสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกา"
เราใช้สัญชาตญาณแทนสติกันมากไปหรือเปล่า น่าจะหาเวลาทบทวนเรื่องราวเพื่อหาคำตอบกันสักนิด แล้วประเทศไทยจะได้ชื่อว่า "พาราสาวัตถีคนมีสตินำชาติ" ซึ่งมีแต่เยี่ยงนี้เท่านั้น ปัญหาทั้งหลาย-ทั้งปวงในรอบ ๒-๓ ปีที่หมักหมมถมทับจนส่ายหน้าพูดกันว่า "หมดทางออก"นั้น
เราก็จะพบ "ทางออก" พรุนไปหมด
เพราะอย่างน้อยที่สุด "ทางออก" มันอยู่ตรง "ทางเข้า" นั่นแหละ!
ความรู้สึกตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ที่ว่า "ไม่มีทางออก" นั้น เพราะเรามองเรื่องราวนั้นๆ เหมือนมองผ่านน้ำขุ่น "ขุ่น" นั้นคือมองด้วยความว้าวุ่น-ไร้สติ ฉะนั้น ทั้งที่บางทีก็ตื้นๆ แต่ใจที่ไร้สติ ทำให้กรอบวินิจฉัยยิ่งตื้นกว่า มองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เห็นก้นตุ่ม-ก้นกะลาซักที!?
หรือนอนๆ อยู่ ได้ยินเสียงใครไม่รู้ตะโกน ไฟไหม้..ไฟไหม้..ก็ไม่ดูเหนือ-ดูใต้ โดดผลุงด้วยตกใจอุ้มตุ่มน้ำทั้งใบฝ่าเปลวไฟออกจากบ้าน พอหายตกใจก็ต้องนั่งกอดตุ่มร้องไห้
กู...ทำไมมันน่าละอายอย่างนี้ ลูก-เมีย-เงิน-ทอง ในบ้านแทนที่จะจัดลำดับความสำคัญแล้วช่วยให้รอดจากกองไฟก่อน แต่นี่..ดันไปอุ้มเอาแต่ตุ่มน้ำหนีไฟ โศกจนตายก็ไม่หาย...งั่ง!
ฉะนั้น กุญแจดอกสำคัญที่สามารถ "ไขทุกปัญหา" ให้จ้ากระจ่าง คือ "สติ" ต้องนำหน้า "สัญชาตญาณ" อย่างปัญหาคนเสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกา มหาดไทยหันซ้าย-หันขวา ก็คิดแก้ด้วยสูตร ๑+๑=๒
มึงล่ารายชื่อถวายฎีกา กูก็จะล่ารายชื่อถอนถวายฎีกา พอเห็นท่าไม่เวิร์ก เพราะยอกย้อนสับสน ก็เอาใหม่ ให้แต่ละจังหวัด ล่ารายชื่อคัดค้านการถวายฎีกา!?
ฝ่ายรัฐบาล หันรี-หันขวางอยู่หลายวัน จนวันสุดท้ายของการล่าชื่อของคนเสื้อแดง ก็ออกโทรทัศน์ชี้แจงว่าทำไม่ได้ ครับ..ถ้าทำได้ก็คงไม่ต้องออกโทรทัศน์ใช่มั้ย ก็ว่ากันไปต่างๆ นานา
รายการคนเสื้อแดงล่ารายชื่อถวายฎีกาก็เลยเหมือนลูกตะกร้อ โด่งดังแพร่หลายชนิดไม่ตกพื้น คนที่ไม่รู้ก็ได้รู้ คนที่รู้ก็ยิ่งคึก
ยิ่งทักษิณพระเอกของเรื่อง จากปากต่อปาก-สื่อต่อสื่อ ดังยกกำลัง ๒ ไปเลย ชื่อและบทบาทได้รับการโปรโมต "ยกชั้น" คู่ไปกับนามสถาบัน ทั้งจากสื่อรัฐ-สื่อราษฎร์ แม้กระทั่งจากปากนายกรัฐมนตรีเอง!
เรียกว่ารายการนี้ "ทักษิณ-เสื้อแดง-สามเกลอหัวขวด" พบความสำเร็จทางการตลาดเกินคาด "ลงทุนร้อย-กำไรล้าน" อีกครั้งหนึ่ง!
ผมไม่ได้หมายถึงว่า ไม่ให้รัฐบาล หรือใครๆ ออกมาทำอะไร แต่ผมหมายถึงว่า "ความรู้สึกช้า" ของรัฐบาลนั้น มันทำให้เรื่องนี้เข้าตำรา "กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้" ไปหรือเปล่า คือแทนที่จะปูพื้นฐานด้วยกฎระเบียบการขอพระราชทานอภัยโทษให้ประชาชนเข้าใจแต่เริ่มแรก แต่ก็ไม่ทำอะไรเลย
ปล่อยให้ ๓ เกลอหัวขวดล่ารายชื่อไปจนวันสุดท้ายถึงได้ออกมาเต้นแร้ง-เต้นกา ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงยัดเยียดข้อมูลใส่ความว่างเปล่าของสมองชาวบ้านในด้านความรู้เกี่ยวกับกฎกติกาไปหมดแล้วว่า
"พวกเขาทำได้ เพราะทำในนิยามความผูกพันพ่อกับลูก เหมือนเมื่อครั้งการปกครองสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช"!
กำปั้นศรีธนญชัยทุบดินก็จริง แต่สังคมไทยที่อ่านหนังสือกันเฉลี่ยแล้วคนละ ๗ บรรทัด/ปี มันเห็นภาพประชาธิปไตยสมัยพ่อขุนรามฯ ที่ "ใครทุกข์ร้อนก็สั่นกระดิ่ง" หน้าประตูวัง บนความแนบแน่นว่า "ที่พึ่งสุดท้าย" ของทุกสิ่ง-ทุกอย่างที่หมดหวัง คือ "พระเจ้าแผ่นดิน"
ซึ่งมันคนละกรณี คนละยุคสมัย คนละเรื่อง-คนละราว อันไม่สามารถโมเมสรุปรวมเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ได้เลย แต่ ๓ เกลอหัวขวดทำได้ เพราะฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะผู้ควบคุมสื่อรัฐ "พูดได้" แต่ทำอะไร "ไม่เป็น"!
บวกกับลักษณะสังคมไทยที่ "คนเจริญด้วยการศึกษาไม่ทันกับการก้าวหน้าทางวัตถุ" ฟังแล้วบอก...ใช่เลย เพราะไม่อย่างนั้น จะมีคนยอมเผาบ้าน-เผาเมือง ด้วยเชื่อคำโหกครั้งแล้ว-ครั้งเล่าของของคนโกงชาติ-โกงแผ่นดินชนิดฝังหัวหรือ?
อันที่จริงแล้ว กฎระเบียบ ขั้นตอน อันว่าด้วยเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ นั้น มีอยู่ครบถ้วนหมดแล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือนถนนสายหนึ่งที่มีป้ายบอกทางแยก ทางเลี้ยวไว้เสร็จสรรพในแต่ละระยะ ใครมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ก็ขับไปตามป้ายบอกทางก็ย่อมถึงจุดหมายได้
ส่วนใครจะดันทุรัง บอกทางตันก็จะผ่าไป บอกเลี้ยวซ้าย ก็ดื้อรั้นว่าโลกกลม...จะเลี้ยวขวา บอกให้หยุดระวังรถไฟ ก็บอกสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล...จะไปซะอย่างใครจะทำไม?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยให้เขาไปตามทางที่เขาเลือกเอง และเขาก็ต้องไปเผชิญในแต่ละจุดที่เขาเฉไฉแหกไปเอง ส่วนผลที่ได้รับจากการแหกด่าน แหกกฎระเบียบนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว เพราะแกนนำเสื้อแเดงแต่ละคน ไม่ใช่ควาย ระดับอดีตคนในวงการตุลาการก็มีด้วยซ้ำ!
นั่นคือ ก่อนที่ฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายไหนจะโวยวายปกป้องสถาบันเหมือนคนอุ้มตุ่มน้ำหนีไฟ ค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราว "ด้วยสติ" เพื่อรับมือให้ถูกต้องในแต่ละขั้นตอนจะดีกว่าไหม?
ก่อนอื่น ทำป้ายบอกทางให้คนสัญจรรู้ชัดครบถ้วนแล้วหรือยังว่า ฎีกาแบบไหนใช้ได้-ฎีกาแบบไหนใช้ไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อแดง "รู้แล้ว-แต่จะแหกป้ายเอง" นั่นก็ช่างเขา แต่เราต้องบอกกล่าวถึง "มาตรฐานตามกฎหมาย" ให้สุจริตชนทราบกันอย่างแพร่หลาย เมื่อทราบกันทั่วไปแล้ว รัฐบาลหรือใครๆ ก็ไม่ต้องไปจ้ำจี้-จ้ำไชวายโวยอะไรอีก
เพราะชาวบ้านเขาจะ "ตรวจหวย" กันเอง ใครผิด-ใครถูก ก็รู้กันได้เองตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลประกาศให้ทราบแพร่หลาย เช่น คนเสื้อแดงบอก "ถวายฎีกา" ชาวบ้านก็จะเทียบเคียงดูได้เองว่า
๑.เขาฎีกาด้วยเรื่องอะไร เป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ ด้วยข้อความตามที่ "นายวีระ มุสิกพงศ์" เคยแจกจ่ายเมื่อ ๒ ก.ค.อันเป็นข้อความที่ก้าวร้าว-บีบคั้น-ท้าทายพระราชอำนาจอย่างยิ่ง หรือเป็นฎีกาด้วยข้อความอื่นใด?
๒.ขณะนี้ คนเสื้อแดงยังไม่ได้ยื่นฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น เพียงอ้างว่าอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อ ถือว่ากรรมยังไม่ครบองค์เจตนา
๓.ตามเจตนาที่ทราบกันอยู่ คนเสื้อแดงจะฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษใน "โทษจำคุก ๒ ปี" ให้กับทักษิณ เมื่อเป็นกรณีนี้ ก็ต้องไปพลิก "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๗ มาตรา ๒๕๙-๒๖๗" ว่าพวกเสื้อแดงทำเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์คร่าวๆ ของคนที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ "เฉพาะราย" ได้ มีดังนี้
ก.คดีถึงที่สุด และรับโทษอยู่ในเรือนจำ
ข.ต้องสำนึกผิดในโทษที่ตัวเองได้รับ จากการที่ได้กระทำผิดลงไป
ค.ตัวนักโทษเอง หรือพ่อ-แม่-คู่สมรส-ลูก เท่านั้น เป็นผู้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
ฆ..ยื่นหนังสือนั้นผ่านพัศดี หรือผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ รมว.ยุติธรรม และผู้รับหนังสือจะออก "ใบรับ" ให้
ง.พัศดี หรือ ผบ.เรือนจำ ต้องส่งหนังสือนั้นไปยัง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม"
จ.รัฐมนตรียุติธรรมต้องนำเรื่องเข้า ครม.พิจารณา เพื่อส่งต่อไปยัง "สำนักราชเลขาธิการ"
ฉ.สำนักราชเลขาธิการพิจารณาแล้วส่งเรื่องไปยัง "คณะองคมนตรี"
ช.คณะองคมนตรีกลั่นกรองแล้ว ก็จะนำฎีกานั้นขึ้นกราบบังคมทูลฯ
ซ.จะได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์
ฌ.เมื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างใด สำนักราชเลขาธิการก็จะส่งผลฎีกานั้นให้ทางกรมราชทัณฑ์ทราบ
ญ.ทางกรมราชทัณฑ์จะแจ้งผลฎีกานั้นให้ผู้ยื่นเรื่องราวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาทราบเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เนี่ยะ...ประตู-หน้าต่างอันเป็น "ทางเข้า-ทางออก" ของปัญหามีอยู่พร้อมหมด ไม่เห็นต้องโกลาหลเป็นไฟไหม้กรุงลงกา รัฐบาลก็เอาแต่ "ความรู้สึก" มาบอกชาวบ้านเท่านั้นว่า..ทำไม่ได้..ทำไม่ได้..แต่มันไม่ได้ยังไงไม่เคยบอก เพิ่งมาออกโทรทัศน์เอาวันที่เขาเลิกล่ารายชื่อกันแล้วนั่นแหละ!
ถ้ามีสติ และรับมือเรื่องราวไปตามขั้นตอนของมัน ป่านนี้การล่ารายชื่อของพวกเสื้อแดงฝ่อไปแล้ว กลายเป็นตัวตลกกลางแดดไปด้วยซ้ำ เพราะสุจริตชนทั้งหลายจะเห็นชัดด้วยความเข้าใจว่า มันไม่เข้ากรอบกฎกติกาตรงไหนที่พวกเสื้อแดงจะถวายฎีภาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในคุก-ในตะราง
คือไม่มีตัวตนคนทำความผิด แล้วจะอภัยโทษให้ผีสางงั้นหรือ?
คงนึกว่าทำได้ เหมือนทำกงเต็กให้ทักษิณเมื่อ ๒๖ ก.ค.ที่วัดแก้วฟ้างั้นซี?
และเมื่อล่ารายชื่อทำฎีกาแล้ว จะไปยื่นช่องทางไหนล่ะ ที่เรือนจำก็ไม่ได้ ที่รัฐมนตรียุติธรรมก็ไม่ได้ ที่สำนักราชเลขาธิการก็ไม่ได้ ที่สำนักพระราชวังก็ไม่ได้ สมมุติว่าดันทุรังทำเถื่อนๆ ไปตามประสาแดงทักษิณ ไปยื่นที่สำนักราชเลขาธิการ
เขามีมรรยาท เขาก็รับหนังสือไว้ และในเมื่อหนังสือนั้นไม่ได้มาตามขั้นตอนกฎหมาย ก็เป็นความชอบธรรมทางกฎหมายอยู่เองที่สำนักราชฯ จะจบขั้นตอนอยู่ตรงนั้น เพราะไม่สามารถนำเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายส่งคณะองคมนตรีได้
เมื่อเสื้อแดงไปทวงถาม หรือไม่ต้องรอให้ไปทวงถาม สำนักราชเลขาธิการจะตอบกลับให้เสื้อแดงทราบก็ได้ว่า "ฎีกานั้นไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ดังนั้น ทางสำนักราชเลขาธิการจึงไม่สามารถนำขึ้นกราบบังคมทูลฯ ได้" ก็ยุติเป็นที่สุดอยู่ตรงนั้น
เนี่ยะ...ทุกอย่างมีขั้น-มีตอน มีกรอบกฎหมายเป็นระเบียบปฏิบัติ ใครจะทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ
-อ้างสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่เสื้อแดงทำทุกอย่างเพื่อให้ทักษิณได้รับสิทธิพิเศษแบบ "เผด็จการเหนือกฎหมาย"
-ประณามอำมาตยาธิปไตย แต่ชูอำมาตยาธิปไตยสมัยพ่อขุนรามฯ มาลบล้างกฎหมายประชาธิปไตย ด้วยให้ใช้ระบบ "อำนาจนอกกฎหมาย" อภัยโทษให้ทักษิณ โดยที่ทักษิณไม่ยอมรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างนี้ ๓ เกลอหัวขวด มันควร "หัวหด" มากกว่า "ตำรวจ-ทหาร-รัฐบาล" จะหด จริงมั้ย?.