วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผิดนี้เพื่อ 'ขอพระราชทานอภัยโทษ'

โดย




ก็ต้องขอแสดงความซาบซึ้งต่อน้ำพระทัยเมตตาของ "สมเด็จนโรดม สีหมุนี" ที่พระราชทานอภัยโทษให้ "นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์" และจะปล่อยตัวในวันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวา ผมก็คิดว่าเมื่อทุกอย่างจบลงไปอย่างที่ต้องการ ฉะนั้น ในภาคการเมือง อะไรๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็น่าจะให้จบลงไปด้วย เพราะบางเรื่อง-บางราวนั้น การ "ฟื้นฝอยหาตะเข็บ" หามีประโยชน์ไม่ ฟื้นไปก็มีแต่ตัวไร-ตัวเรือด

จะปล่อยจริง-ไม่จริง ก็ต้องรอดู "ของจริง" ในวันจันทร์อีกที นี่ผมก็พูดไปตามรายงานข่าวจากต่างประเทศ และคิดว่าพวกโฆษกประชาธิปัตย์ช่างพูด ก็ไม่ควรเอาบทละครเรื่องนี้เที่ยวไปบลัฟ-ไปเบิ้ลพรรคเพื่อไทย หรือใครต่อใครเขาเป็นการ "ต่อความยาว-สาวความยืด" ออกไปอีก

ชาวบ้านน่ะ โดยเฉพาะคอหนัง-คอละคร (น้ำเน่า) เขาคิดเป็น-ดูเป็นหรอก ดูแค่หัวม้วนแป๊บเดียว เขาก็เดา "ตอนจบ" ได้เองอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ต้องแส่นำมากนัก!

ส่วน "เพื่อไทย" เขาจะอาศัยการที่นายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาไปแบบไหน อย่างไร นั่น..ก็เห็นใจเขาเถอะ เพราะเขาทุ่มทุนสร้างออกหน้า-ออกตาซะขนาดนั้น ก็ต้องให้เขาหาทางถอนทุน-ถอนกำไรจากคอหนัง-คอละครประเภท จุกบี้-ต้ำไบ่ บ้างเป็นธรรมดา

แต่มีอยู่เรื่องที่คนพรรคเพื่อไทยทำลงไปวานนี้ (๑๑ ธ.ค.) เห็นแล้วสมเพช-เวทนาคนทำ และน่าจะเป็นการทำที่สร้างความตกต่ำให้พรรคเพื่อไทยหนักขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น ก็อยากนำมาเตือนสติกันไว้ เผื่อจะช่วยกระตุ้นเตือน "จิตสำนึก" ซึ่งกันและกันได้บ้าง

คือตอนเช้าวานนี้ เข้าใจว่ายังไม่รู้เหนือ-รู้ใต้อะไร ท่านพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่เขาเรียกกันว่า "เด็จพี่" โฆษกพรรคเพื่อไทย ไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องในนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย อดีตเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา แสดงความรับผิดชอบกรณีศาลกัมพูชาจำคุกนายศิวรักษ์ ๗ ปี

โดยให้ "ลาออก" จากตำแหน่ง!

คือเหมือนอย่างที่ "นางสิมารักษ์" แม่ของนายศิวรักษ์โทรศัพท์ในทำนองให้สัมภาษณ์จากเขมรมาเข้าเครื่องโทรศัพท์ท่านพร้อมพงศ์ แล้วท่านพร้อมพงศ์ก็เปิดเสียงให้นักข่าวฟัง

เป้าที่นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์พุ่งไปที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" เพราะนางตั้งทิศทางให้คนฟังเข้าใจว่า "ถ้านายคำรบไม่โทรศัพท์ไปหาลูกชายเขา นายศิวรักษ์ก็ต้องไม่มีวันนี้...คือไม่ต้องติดคุกนั่นแหละ!

สรุปชัดๆ ก็คือ นางสิมารักษ์คล้ายต้องการประจานว่า "มีการโจรกรรมข้อมูลลับ" คือตารางการบินจริงตามที่กัมพูชาตั้งข้อหา และคนที่โจรกรรม ไม่ใช่ลูกชายเขา หากแต่ "ประเทศไทย" โดยนายคำรบจากสถานทูตไทยตะหากที่โจรกรรมด้วยการโทรศัพท์ไปให้ลูกชายเขาทำอย่างนั้น

ฉะนั้น นายคำรบก็ดี นายกษิตก็ดี ต้องรับผิดชอบ!?

จากคำพูดนางสิมารักษ์นั้น จะด้วยความเข้าใจจริงๆ อย่างนั้น หรือจะด้วยอะไรก็ช่างเถอะ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ฟังแล้วอาจเข้าใจว่า...อ้อ...เรื่องนี้ "ประเทศไทย" เบื้องหน้าผู้ดี-เบื้องหลังผู้ร้ายจริงที่กัมพูชากล่าวหานี่นา!!

นี่...ผมก็ปูพื้นเป็นลำดับเรื่องราวให้เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุ ที่ท่านพร้อมพงศ์ไปยื่นหนังสือให้นายกษิตและนายคำรบแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ก็เป็นฉากต่อเนื่องกันมา และตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าเป็นการทำที่เกินกรอบ-เกินเส้นในสามัญสำนึกของมนุษย์ที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่...แสนจะทุเรศ

ก่อนจะสรุปกันว่า "ควรต้องรับผิดชอบไหม?" ก็อยากจะให้ท่านพร้อมพงศ์และทุกท่านในเพื่อไทย ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมนักกฎหมายอยู่เยอะแยะ ลองตอบซิว่า

ตารางการบินพาณิชย์นั้น เป็นข้อมูลลับทางราชการหรือ?

มันก็ไม่ใช่...!

นอกจาก "ผิดใจ" แล้วมันผิดกฎหมายฉบับใดในโลก ที่นายคำรบจะโทรถามถึงตารางการบินกับนายศิวรักษ์ที่ทำงานอยู่ที่วิทยุการบิน?

ผมเชื่อว่าเรื่องนี้นายศิวรักษ์บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีแผน หรือร่วมรู้เห็นกับใคร "ทำเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย" ให้กลายเป็น "เรื่องผิดกฎหมาย" เพื่อใช้เป็นกลเกมเดินแต้มการเมืองระหว่างประเทศของใครบางคน

ก็เพราะมันไม่ผิดกฎหมายนั่นแหละ ที่จะแจ้งการขึ้น-ลงของเครื่องบินพาณิชย์ให้กับคนที่มาสอบถาม นายศิวรักษ์จึงทำไปตามปกติสากลโลก จะเรียกว่าทำไปตามหน้าที่ของพนักงานที่ดีก็ยังได้

แบบนี้ ทั้งพฤตินัย-นิตินัยนั้น มันผิดตรงไหน มันไม่แปลกเลยด้วยซ้ำที่ "นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย" จะโทรสอบถามตารางการบินกับนายศิวรักษ์!

ในทางกลับกัน ในฐานะเป็นถึงเลขานุการทูตเอก มันอาจจะผิด และเป็นการบกพร่องต่อภาระหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชนไทยอยู่ในเขมรด้วยซ้ำ ที่ไม่เอาใจใส่สดับตรับฟังข่าวสาร-บ้านเมือง เพื่อรายงานเป็น "การข่าว" กลับมายังประเทศชาติบ้านเมืองตัวเองได้ทราบ

ถ้านายคำรบถือว่าธุระไม่ใช่ ทั้งที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานทั้งภาพ-ทั้งข่าวไปทั่วโลกโครมๆ อย่างนั้นว่า...ทักษิณบินเข้ากัมพูชาแล้ว...แต่นายคำรบเอาแต่นอนทอดหุ่ยอยู่ในสถานทูต ไม่ขวนขวายสนใจอะไรเลย ทางเมืองไทยสอบถามข้อมูลมาก็บอกว่า..ยัง..ยัง..ยังไม่รู้

อย่างนี้ตะหากล่ะที่ท่านพร้อมพงศ์ และทุกท่านในเพื่อไทย ควรทำหนังสือยื่นกระทรวงการต่างประเทศให้ "รีบไล่นายคำรบออกไปเลย"!

สรุปก็คือ นายคำรบปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ถูกต้องในความเป็นเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชาแล้ว การสนใจไต่ถามควานหาข้อมูลเพื่อรายงานให้ทางประเทศไทยได้ทราบนั้น เป็นผลงานที่ต้องยกย่อง ชมเชยในความเป็นแบบอย่างที่ดี

ไม่ใช่ทำหนังสือไปขับไล่ ยัดเยียดให้คนเข้าใจว่า "คนสถานทูตโจรกรรมข้อมูล" อย่างที่ท่านพร้อมพงศ์ทำไปหรอก ผมทุเรศท่านตรงนี้

และทนเห็นแสดงบทคนการเมืองไร้คุณภาพและจิตสำนึกเพื่อสังคมชาติบ้านเมืองไม่ไหว เกรงจะได้ใจเลยเถิด ในเมื่อเห็นสังคม "ไม่ให้ราคา" ก็เลยจะบ้าไปทุกเรื่อง

เล่นการเมืองก็เล่นไปเถอะ แต่อย่าให้ล้นกรอบ!

พวกคุณเป็นคนประเภทไหนกัน จิตสำนึกแยกแยะประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ประเทศชาติไม่มีบ้างเชียวหรือ เพียงเพื่อทักษิณ-ที่สูญเสียแล้วไปยืมมือฮุน เซน มาเล่นสงครามประเทศตัวเอง พวกคุณก็ยอมเป็น "ไส้ศึก" ให้คนขายชาติ และฮุน เซน คอยรับลูก-รับสัญญาณมาบ่อนทำลายประเทศชาติตัวเองให้ฉิบหายงั้นหรือ?

เป็นคน มันก็ต้องมีเส้นแบ่ง ถ้าไม่มี นั่น...มันก็ไม่ใช่คน ส่วนจะเป็นอะไรก็คิดเอา!

ผมก็ไม่อยากพูดอะไรถึงนางสิมารักษ์ เพราะเห็นแก่ลูกชาย เพราะผมเชื่อในความบริสุทธิ์-จริงใจต่อชาติบ้านเมืองของเขา และรู้ว่า "ไม่ผิด จึงทำ"

แต่ด้วยการปกครองระบอบ "ประชาธิปไตยฮุน เซน เบ็ดเสร็จ" ซึ่งสไตล์เดียวกับยุค "ประชาธิปไตยทักษิณเบ็ดเสร็จ" อะไรมันก็ผิดได้-ถูกได้ ตามอำนาจผู้นำ ฉะนั้น ในความไม่ได้ทำผิดของนายศิวรักษ์ แต่ด้วย "ความซวย" เลยถูกใช้เป็น "หมาก" ตัวหนึ่งในการเดินเกม...ก็เท่านั้น!

จะว่าไปแล้ว นางสิมารักษ์เธอก็มีความซื่อสัตย์ และความจริงใจ น่าชื่นชม แต่ถ้าความซื่อสัตย์ และความจริงใจนั้น เปลี่ยนจากทักษิณและจิ๋วมาเป็นประเทศไทย เธอก็จะได้ความรัก ความเห็นใจ จากประชาชนคนไทยมากกว่านี้

ลูกชายคุณไม่ได้ผิด แต่คุณไม่เคยแสดงความเชื่อมั่นในสิ่งถูกนั้น ไม่เคยแสดงความจริงใจที่จะพยายามพิสูจน์เลย กลับอ้างความรักของแม่ที่มีต่อลูกขึ้นเหนือความผิด-ถูก-ศักดิ์ศรีทั้งมวล ยอมทุกอย่าง อะไร-แบบไหนได้ทั้งนั้น เพียงขอให้ลูกพ้นคุกเป็นใช้ได้

เปลี่ยนทนายบ้าง จะประกันแล้วไม่ประกันบ้าง ปฏิเสธระบบทางกระทรวงการต่างประเทศบ้าง ระบบของกติกาสากลบ้าง แล้วมองข้ามช็อต...รู้ว่าลูกไม่ผิด ก็จะให้ยอมรับผิด...เพื่อไปถึงขั้นเตรียมการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยเชื่อและศรัทธาต่อทักษิณ-จิ๋ว-เพื่อไทย เหนือกว่าเชื่อและศรัทธาในความถูกต้อง

ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลยว่า "ผิดหรือถูก?"

ถ้ามีเวลาสังเกตสักนิด นางสิมารักษ์จะรู้สึกตัวว่า กำลังใจ และการเทใจช่วยจากคนไทยในวันแรกๆ ที่ทราบข่าวลูกของเธอถูกจับ กับวันหลังๆ ต่อมา ที่บทบาทแม่ของเธอชักจะชัดว่า "เดินตามบท" ของพรรคเพื่อไทย จะพบว่า กำลังใจให้คุณแม่ และการเชียร์ช่วยเหล่านั้น...เหือดหายไป

เพราะไม่มีใครอยากถูกหัวเราะลับหลังว่า...ไอ้พวกหน้าโง่!

เรื่องนี้ถึงจบตามความคาดหมายก็จริง แต่ดูจะลุกลี้-ลุกลน รวบรัดจบแบบ "มุบมิบจบ" กระนั้นก็ตาม ยังไงๆ ก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์กัมพูชา และขอบคุณในน้ำใจของนายกฯ ฮุน เซน ที่มีให้ต่อคนไทยคนหนึ่ง แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือรีบจบเพราะ...มุกแป๊ก!

ไก่ทักษิณ ไก่เพื่อไทย ไก่จิ๋ว ถูกจับได้ยกเล้า ไม่มี "ไก่ฮีโร่" ดังนั้น ขืนลากยาวไปก็มีแต่ "หางโผล่" รีบจบน่ะดีแล้ว

ถ้าจะถามว่า "แบบนี้เป็นสัญญาณไทย-กัมพูชาใกล้จะสามัคคีกันใช่ไหม?" ผมบอกได้เลยว่า "คนละเรื่องกัน" ก็ในเมื่อฮุน เซน-ทักษิณ ใช้กรณีนายศิวรักษ์หวังกดดันให้คนไทยหันไปบดทำลายคนที่อยู่แล้วเขาไม่มีความสุข คือ "อภิสิทธิ์-กษิต" ไม่สำเร็จ เขาก็ต้องปล่อย และนั่น...เขาก็คงต้องไปคิดเกมกันใหม่ ซึ่งไม่ใช่เกม "ฮุน เซน จูบปากอภิสิทธิ์" แน่ๆ.

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด

โดย attawut08

ด้วยความเคารพ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ในบรรดารัฐมนตรีของคุณอภิสิทธิ์ทั้งหมด


เพราะคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


มีหน้าที่ดูแลและกำกับสื่อของรัฐ แต่ทุกวันนี้สื่อของรัฐกลับออกอาการหน่อมแน้ม


ทำงานกันเหมือนไม่รู้ว่าไม่รู้ว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร


ผมจะบอกให้ก็ได้


ประเทศไทยขณะนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์สงครามสื่อสารมวลชน


ที่มีคุณทักษิณ ชินวัตรเป็นแม่ทัพใหญ่


และยุทธศาสตร์หลักของคุณทักษิณคือ


ทำให้ผู้รับข่าวสารจากคุณทักษิณ เชื่อว่า


คุณทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


และคุณทักษิณยังเก่งขนาดทำให้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา


เชื่อว่าคดีของคุณทักษิณเป็นคดีทางการเมืองไม่ใช่คดีอาญา


จนเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชากล้าที่จะเลือกยืนข้างคุณทักษิณ


ด้วยการแต่งตั้งให้คุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา


และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซนอย่างเป็นทางการ


เท่ากับเป็นการตบหน้าคนไทยและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย


ที่ตัดสินลงโทษจำคุกคุณทักษิณ 2 ปี


ยุทธวิธีที่จะทำให้ยุทธศาสตร์นี้สำเร็จคือ


การให้ข้อมูลข่างสารซ้ำไปซ้ำมา


โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงต้นสายปลายเหตุของโทษที่ได้รับ


แค่ย้ำว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั่นแกล้ง เพราะทำงานมากเกินไป


หรือมัวแต่ทำงานโดยไม่ได้ระวังตัวจึงถูกกลั่นแกล้ง อะไรทำนองนี้


ผมเข้าใจดีว่าการที่จะตอบโต้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่คุณทักษิณใช้เป็นเรื่องยาก


เพราะการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นความรู้ เป็นข้อมูลที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง


ยากกว่าการให้ข้อมูลที่เน้นไปที่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว


แต่ไม่มีสงครามครั้งไหนที่ง่ายเหมือนนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านกับลูกเมียหรอก


ที่ผ่านมาเกือบปีรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จ


ที่จะทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อได้อย่างสนิทใจว่า


คุณทักษิณได้รับโทษเพราะทำผิดกฎหมาย


หลายคนยังเชื่อเหมือนที่คุณทักษิณพยายามสื่อว่า


ได้รับโทษเพราะโดนกลั่นแกล้งโดนอิจฉาเพราะทำงานรับใช้ชาวบ้านเก่งเกินหน้าเกินตา


ก็เพราะยากนั่นแหละจึงจำเป็นต้องใช้รัฐมนตรีที่ฉลาดมีสมองมากกว่าคุณสาทิตย์มาทำงาน


ยิ่งมาเจอการให้สัมภาษณ์บอกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณทักษิณมากนัก


เพราะแค่เป็นการเคลื่อนไหวของนักโทษหลบหนีคนหนึ่ง


ผมยิ่งหมดหวัง เพราะคุณสาทิตย์ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองมีหน้าที่อะไร


ถ้าคุณอภิสิทธิ์ยังใช้ขุนพลหน่อมแน้ม อย่างคุณสาทิตย์ มาทำงาน


ในสถานการณ์ที่ต้องทำศึกกับคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญการสื่อสารกับชาวบ้านมากที่สุด


อย่างคุณทักษิณ ถ้ายังมัวแต่ลอยไปลอยมาตั้งตนอยู่ในความประมาท


ไม่ใส่ใจ อีกไม่นานก็คงพังกันทั้งรัฐบาลนั่นแหละ


คุณทักษิณอยู่ดูไบ แต่มีปัญญาใช้สื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุ


ส่งข้อความออดอ้อนเรียกร้องหาความเป็นธรรมที่ต้องการได้ทุกวัน


แต่คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เสียอีกเป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจ มีหน้าที่


มีเครื่องมือสื่อสารกับชาวบ้านทั่วประเทศ


กลับทำงานไม่เป็นและยังไม่ให้ความสนใจอีก


อย่าว่าแต่จะทำงานในเชิงรุกเพื่อทำลายความชอบธรรมของคุณทักษิณเลย


แค่ทำงานเชิงรับ รับมือกับคุณทักษิณที่ขยันเขียน “ทวิตเตอร์” เช้าเย็นยังไม่มีปัญญาทำ


ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง


ด้วยความเคารพจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวของผม


ผมคิดว่าคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรีที่ห่วยแตกที่สุด


ยิ่งคุณสาทิตย์ห่วยแตกมากเท่าไร


ชาวบ้านยี่งเชื่อและศรัทธาคุณทักษิณมากขึ้นเท่านั้น





























สาทิตย์ วงค์หนองเตย เธอทำหน้าที่อะไรในรัฐบาลนี้ เชอะ!...







โดย toodtoodton

เกือบหนึ่งปี น้องเดียวผมชี้ตั้งเด่ ตัวสั้นเปี๊ยก เธอทำอะไรอยู่หรือ?

อ้อ เปลี่ยนโลโก้หอยม่วง โถ...น้องเดียว

ว่ากันว่าน้องเดียวจะขยับเมื่อหมีควายดำสั่งให้เขยื้อน หากนอกเหนือคำสั่งกำนันควายดำ น้องเดียวไม่มีสมองคิดทำ อุ๊บ... เรื่องจริงจากสันติไมตรี

น้องเดียว ในความไร้เดียวสาแบบเด็กน้อยเกมส์ทศกัณฑ์ ผู้ยังหลงใหลอยู่กับเกมส์ทายใบหน้าคจากลังปัญญา หารู้ไม่ว่าภารกิจหนึ่งเดียวของหน้าที่ตัวคือ ต้องทำอะไร...

รู้หรือไม่รู้...รู้...ทำหรือไม่ทำ...ไม่ทำ...

จะด้วยขาดสติปัญญา หรือขาดความกล้าหาญ อะไรก็ช่างเถอะ แต่การที่ยังลอยหน้าลอยตาท่ามกลางสงครามเต็มรูปแบบด้านสื่อสารมวลชน โดยที่ตัวเองมองมันอย่างเมินเฉย สมควรหรือไม่ที่จะต้องเฉยหัวตัวเองออกไป

ไม่...ไม่ต้องแทรกแซงสื่อ เพียงแต่เอาความจริงกับเวลาที่เหมาะที่สมและมากพอ บอกกล่าวความจริงกับประชาชน ความจริง!! ความจริง!!! และความจริง!!!

ความจริงที่ประชาชนที่ยังมืดบอดยังไม่ได้รับรู้

โดยเฉพาะเรื่องราวกลโกง การโกหกหลอกลวงของบรรดาหัวขวด ร่างคางคกทั้งหลาย การจาบจ้วง ความก้าวร้าวรุนแรง ทำได้ ทำอย่างมีศิลปะ ทำสกู๊ปดีดี สวยสวย ตื่นเต้นน่าติดตาม

บัดโธ่...เท่านี้ขี้คร้านละครเจ็ดสี สามสีจะตกวูบลงฉับพลัน

ก็เรื่องจริง เรื่องเข้มข้น เรื่องประเทืองสมองที่น่าติดตามเช่นนี้ ใครก็อยากดู ดูอย่างเนชั่นแนลจีโอ กราฟฟิค ปะไร เรื่องของสัตว์น่าขยะแขยงอย่าง "อีกัวน่า" แท้แท้ คนยังสนใจกันโลก

เฮ้อ เหนี่อยกับน้องเดียวคนนี้เสียเหลือที่

ไม่ใช่อะไรหรอกที่พูดมาทั้งหมดอยากให้เธอได้เป็นน้องเดียว คนที่เป็นอัจฉริยะตอบปัญหาของลุงปัญญาได้หมดทุกข้อนานนาน

ไม่อยกาเห็นเธอต้องตกม้าตายอย่างน่าเวทนา เพราะความขลาดและโง่เขลาของตนเอง

โลกหมุนเวียน สมัคร สุนทรเวช

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เถรขวาด...

โดย กระจกเงา

คมชัดลึก : “จึงหมายว่าจะแกล้งแปลงอินทรีย์ เป็นกุมภีล์ลงไปในอยุธยา จะทำเสียให้วุ่นขุ่นทั้งกรุง เอาให้ยุ่งถึงสมเด็จพระพันวษา”...


สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ทำให้นึกถึงเถรขวาด ตัวละครในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนที่ แปลงกายเป็นจระเข้ออกอาละวาดไล่งับกัดคนในเมืองหลวงกรุงศรีอยุธยาให้วุ่นวายไปทั้งเมือง

เถรขวาดเป็นพระระดับพระสังฆราชาประจำเมืองเชียงใหม่ เคยถูกพลายชุมพลลูกชายคนหนึ่ง ของขุนแผนเอาดาบฟันแสกหน้า ถึงวันหนึ่งส่องกระจกเห็นรอยแผลที่หน้าผากก็ให้แค้นเคืองคิดเอาคืน

เถรขวาดจึงวางแผนดังคำกลอนข้างบนนั่น คือแปลงร่างเป็นจระเข้หมายล่อพลายชุมพลให้ออกมาสู้กับตน ทั้งที่เถรขวาดตอนนั้นอายุปาเข้าไปกว่า ๘๐ ปีแล้ว

ก่อนจากเมืองเชียงใหม่ลงมากรุงศรีอยุธยาได้มีผู้ตักเตือนเถรเฒ่าว่าแก่แล้วอยู่กับบ้านสบายๆ จะดีกว่า อย่าได้ไปออกสนามรบรนหาที่ตายเลย แต่เถรขวาดก็ไม่เชื่อเพราะเป็นเฒ่าเถรดื้อรั้นโดยนิสัยอยู่แล้ว

เถรขวาดนั้นจะกลายร่างแปลงพันธุ์เป็นสัตว์อะไรก็ได้แล้วแต่นึกสนุก เช่นแปลงเป็นอีแร้งบินจาก เหนือลงมาที่อ่างทองก่อนกลายเป็นจระเข้ยักษ์เขี้ยวโง้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เที่ยวไล่ล่มจมเรือชาวบ้าน และไล่กัดกินคนดะเรื่อยลงมาจนถึงกรุงศรีอยุธยาในที่สุด

แม้ในงานบุญการกุศล ขณะที่ชาวบ้านเล่นเพลงลอยเรือฉลองพระกันอยู่ที่ อ.ป่าโมก จระเข้เถรขวาดก็ไม่ละเว้นออกอาละวาดไล่งับกัดคน ในขณะที่จระเข้เจ้าถิ่นก็พากันเกรงกลัวหนีหายไปสิ้น จระเข้เถรขวาดจึงสามารถทำลายล้างได้อย่างสนุกยิ่งตามอำเภอใจตน

แถมในวันว่างยังคืนร่างกลับเป็นเถร ออกบิณฑบาตให้ชาวบ้านทำบุญใส่บาตรให้อีกด้วย ริยำถึง ขนาดนั้น

จระเข้เถรขวาดได้เข้ามาแผลงฤทธิ์อาละวาดถึงกรุงศรีอยุธยาในแม่น้ำบริเวณโรงเก็บเรือหลวง จนร้อนถึงสมเด็จพระพันวษาเจ้า ต้องส่งพลายชุมพลซึ่งเป็นหมอจระเข้ออกไปปราบ

ฉากที่ต่อสู้กันระหว่างเถรเฒ่ากับคนหนุ่มรูปงามอย่างพลายชุมพลจึงได้เริ่มต้นขึ้นตรงที่บริเวณ แม่น้ำใจกลางเมืองกรุงศรีอยุธยานี้ ผลก็คือคนแก่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่คนหนุ่ม ต้องถูกจับมัดไว้และต้อง กลายร่างเป็นเถรร้ายประจานให้ชาวบ้านเห็นในตอนจบ

เถรขวาดถูกประหารชีวิตแถมยังถูกด่าว่าเป็น “ทุด อ้ายแก่โกโรก...” ต้องโทษมหันต์อันธพาล โดยถูกพลายชุมพลคนหนุ่มตัดหัวทิ้งที่ตะแลงแกงใจกลางเมืองนั่นเอง

เถรขวาดมีลูกศิษย์ชื่อเณรจิ๋ว แต่ไม่เกี่ยวกันนะครับ

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ว่าด้วยพระราชอำนาจ และคำสัตย์ปฏิญาณ

โดย วสิษฐ เดชกุญชร

ดูเหมือนว่า จะมีผู้ลืม หรือไม่รู้ (หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้) เรื่องของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการตำรวจอยู่

ก่อนอื่น ควรเข้าใจว่า ระบอบการปกครองเมืองไทยนั้น เป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตรงที่ควรจำให้ได้นั้นคือคำว่า "ประชาธิปไตย" ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าประเทศไหนๆ อำนาจอธิปไตยก็เป็นของประชาชนทั้งนั้น แม้จะยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ อย่างในเมืองไทยและอีกหลายๆ ประเทศ พระมหากษัตริย์ก็ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนเท่านั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับบัญญัติไว้ชัดเจนเช่นนั้นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ประกาศใช้ใน พ.ศ.2475

และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550) ก็บัญญัติไว้อย่างเดิมว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของ "ปวงชนชาวไทย" และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบัญญัติไว้ตรงไหนในมาตราใดเลย ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนข้าราชการตำรวจ มีแต่ในพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 (มาตรา 26) ที่ระบุว่า การแต่งตั้งยศข้าราชการตำรวจสัญญาบัตร ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโอกงการ" และการถอดถอนก็ให้กระทำ "โดยพระบรมราชโองการ" เช่นเดียวกัน

การแต่งตั้งและถอดถอน (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก และหนีโทษไปอยู่ต่างประเทศ เป็นมาตรการทางการบริหาร ไม่ใช่พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และสมมุติว่าเป็น แต่ในการใช้พระราชอำนาจ พระมหากษัตริย์ก็ทรงถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญอยู่ดี

พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งใครตามพระราชอัธยาศัย มิใช่ว่าทรงนึกจะแต่งตั้งใครให้มียศอะไร สูงต่ำเพียงไหน ก็ทรงแต่งตั้งคนนั้นได้ แต่การแต่งตั้งต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระมหากษัตริย์เพียงแต่ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งเท่านั้น

แม้การแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา ให้มียศเป็นนายทหาร ก็ไม่ได้เกิดหรือมาจากพระราชดำริ แต่ขึ้นต้นโดยกองทัพนั้นๆ ตามกฎหมาย

เรื่องการถอดยศก็เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน พระมหากษัตริย์จะทรงทำโดยพระราชอัธยาศัย ทรงนึกจะถอดยศใครก็โปรดเกล้าฯให้ถอดไม่ได้ จะถอดยศทหาร กองทัพก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ จะถอดยศตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องเป็นผู้ขึ้นต้นดำเนินการ และการดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมายเหมือนกัน

ส่วนการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติในมาตรา 192 ว่าเป็นพระราชอำนาจ แต่วิธีดำเนินการก็เริ่มต้นที่กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ พระมหากษัตริย์ไม่เคยทรงเรียกคืนตามพระราชอัธยาศัย

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังพยายามจะให้พระราชทานอภัยโทษ หรือไม่ให้ทรงถอดยศ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าเป็นพระราชอำนาจนั้น จึงลืม หรือไม่รู้ หรือทำเป็นลืม หรือทำเป็นไม่รู้

จบเรื่องพระราชทานยศและถอดยศแล้ว ต่อไปนี้ ผมขอนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ของนายทหารและตำรวจผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี ซึ่งเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดินเป็นพิเศษ อันเป็นพระราชดำริแรกเริ่มในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาลงให้อ่านกัน ดังนี้

"ข้าพระพุทธเจ้า (ออกชื่อผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณ) ขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานตัว ต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย เฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางมหาสันนิบาตนี้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมาชิกแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและต่อหน้าที่ จะปฏิบัติการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญ ความสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศชาติไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่ หากข้าพระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติฝืนคำสัตย์ปฏิญาณนี้เมื่อใด ขอความวิบัติจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั้นโดยฉับพลันทันที อย่าให้มีความสุขสวัสดีด้วยประการใดๆ หากข้าพระพุทธเจ้าดำรงมั่นในสัตย์ปฏิญาณนี้ยั่งยืนไป ขออานุภาพพระรัตนตรัยและเทพยดาอารักษ์ มีพระสยามเทวาธิราช เป็นต้น จงบันดาลความสุขความสวัสดีแก่ข้าพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความเจริญในหน้าที่ราชการ ได้เป็นกำลังทำนุบำรุงประเทศชาติสืบไป สมตามปณิธานปรารถนาจงทุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

ขอแถมท้ายด้วยคำสาบานของทหารราชวัลลภรักษาพระองค์ ที่ถวายต่อพระพักตร์เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี

"ข้าพเจ้าจักยอมตายเพื่ออิสรภาพและส่วนรวมแห่งชาติ

ข้าพเจ้าจักรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้าพเจ้าจักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา

ข้าพเจ้าจักเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์

ข้าพเจ้าจักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม

ข้าพเจ้าจักไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด"

ที่ผมนำเอาคำถวายสัตย์ปฏิญาณและคำสาบานมาเขียนให้อ่านนี้ ก็เพราะเห็นว่า มีการไม่รู้ หรือลืม หรือทำเป็นไม่รู้ หรือทำเป็นลืม เหมือนๆ กับเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอน

คนอื่นก็ช่างมันเถอะครับ แต่ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณและสาบานกันไปแล้วน่ะ ผมเป็นห่วง

หน้า 6

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แก้รัฐธรรมนูญ...แก้แล้ว(ใคร)ได้อะไร?

โดย

งานแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลผสมประชาธิปัตย์เหมือน "ควายจมปลัก" ตัวเองก็แสดงเจตนาแต่ต้นแล้วว่า "ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐" ในขณะที่ "เพื่อไทย" เขาก็ไปตามลีลาของเขา "มึงมาซ้าย-กูไปขวา, มึงมาขวา-กูไปซ้าย" เมื่อฝ่ายรัฐบาลบอกไม่แก้ กูก็จะแก้ กระทั่ง ส.ว.ส่วนใหญ่เขาไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนอันใดต้องแก้ ยิ่งในส่วนประชาชนเอง ถ้ามีช่องให้กรอกในใบประชามติ เขาอาจกรอกข้อความว่า "จะแก้ให้มันยุ่งมากและมากปัญหาไปเพื่อพระแสงอันใด"?

ก็พวกประชาธิปัตย์นั่นแหละ รวมทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ ทำเก๋าเกม จะใช้การแก้-ไม่แก้เป็นตั๋วในการซื้อเวลาการเมือง ก็เลย "จับไก่" เพื่อไทยที่อยากแก้รัฐธรรมนูญดีนัก เอ้า...แก้ก็แก้ แต่จะแก้ตรงไหน อย่างไร ก็โยนให้คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ไปสรุปประเด็นมา ฝ่ายเพื่อไทยเมื่อถูกจับไก่ก็เลยต้อง "ตกกระไดพลอยโจน"

แล้วผมอยากรู้จริงๆ ว่า พวกคุณ "แก่แดด" เขี้ยวลากกันขนาดนั้นไม่รู้หรือว่า ที่สรุปกันมา ๖ ประเด็นนั้น ถึงจะเดินตามกรอบมาตรา ๒๙๑ แต่เอาจริงๆ มันแก้ไม่ได้ เพราะขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญในประเด็น "เป็นมาตราที่พวกตัวเองมีส่วนได้-ส่วนเสียโดยตรง"!?

ต่างคนต่างกลบไต๋ ในใจลึกๆ ประชาธิปัตย์ก็รู้ว่า "ลงท้ายก็ไม่ได้แก้" ส่วนฝ่ายเพื่อไทยนั้น ไต๋ตัวเองก็มีอยู่ว่า แก้มาตราไหนก็ได้ ถ้าเปิดช่องให้ทักษิณรอดคดี-รอดยึดทรัพย์-กลับเมืองไทยโดยไม่ต้องเข้าคุกเป็นใช้ได้

แต่ที่ชูมา ๖ ประเด็นนั้น มันบ่มิไก๊ ทักษิณไม่ได้อะไร เข้าตำรา ไก่ก็ไม่ได้ แต่กลับเสียข้าวเปลือกไปทั้งกำมือ ฝ่ายเจ้าตัว ทักษิณ-ผู้รู้ชะตาตัวเองแล้ว แต่ลูกน้องยังงมงายอยู่ใต้เกมประชาธิปัตย์ จึงอดรนทนไม่ไหว ต้องโฟนอินมาตบกะโหลกยกแก๊งกันไปกลางวงประชุมพรรค

ไม่แก้ ๖ ประเด็น แต่ต้องแก้โดยเอารัฐธรรมนูญ ๔๐ มาใช้ทั้งฉบับ!?

ก็แค่เอาสีข้างเถลือกไถลไปข้างๆ คูๆ อย่างนั้นเอง การยกเงื่อนไขให้เอารัฐธรรมนูญอื่นๆ ทั้งฉบับมาใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้น มันไม่ใช่วิสัยปัญญาชนคนการเมืองที่จะพูดแบบคนไร้สติปัญญาหากรอบปฏิบัติอันชอบตามกฎหมายมิได้อย่างนั้น เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ การที่จะเอารัฐธรรมนูญฉบับอื่น มาใช้แทนฉบับปัจจุบันให้ทันใจ และถูกใจตามวิธีการ "แดงทั้งแผ่นดิน" ของทักษิณ มันก็มีวิธีเดียว คือ

ปฏิวัติ แล้วฉีกกกกทิ้ง!!!!

หรือจะเอาฉบับไหน หรือจะเขียนใหม่ตามใจแม้ว ตามใจเมีย ก็ตามสบาย นั่นแหละความหมาย "แก้รัฐธรรมนูญ" ยกเอาเก่ามาแทนใหม่ทั้งฉบับตามตำรับแม้ว!

แล้วนี่อภิสิทธิ์เพริดไปแล้วกับเกมแก้รัฐธรรมนูญ แรกๆ ทำแบบจำใจ เพราะประชาธิปไตยต้องจอดทุกสถานี ก็ตอนนี้ตัวเจ้ากี้เจ้าการใหญ่เขาไม่เอาแล้ว ก็ควรเลิกเล่นเกมแก้รัฐธรรมนูญเสียที จะต้องไปตั้งกรรมการ ๒ สภามายกร่างฯ ไปเพื่ออะไร ระวังเถอะ ขืนไกลไปถึงขั้นทำประชามติด้วยงบ ๒,๐๐๐ ล้านบาทละก็

อภิสิทธิ์-ชาตินี้ไม่มีฟื้น!

เพราะนอกจากผลาญไป ๒,๐๐๐ ล้านแล้ว ประชามติที่ได้มา ซึ่งน่าจะลบมากกว่าบวกด้วยซ้ำ นอกจากไม่มีผลคุ้มค่าอะไรแล้ว ที่สำคัญคือ ๖ ประเด็นนั้น ถ้าเข้าสู่กระบวนการชี้ขาดออกมาว่า "ขัดกฎหมาย" นำเข้าสู่การแก้ไขไม่ได้ แล้วใครจะรับผิดชอบ!?

ในเมื่อเพื่อไทยเขาล้ม "มติวิป ๓ ฝ่าย" ก็ถือโอกาส "เลิกกันไป" ก็จบเรื่อง-จบปัญหา แล้วจะมาบ้ากันต่ออยู่เพื่ออะไร รัฐธรรมนูญปี ๕๐ นี้ ก็ทราบกันอยู่ว่า ร่างขึ้นมาเหมือน "ยันต์ปิดปากหม้อ" เป็นการใช้สยบมาร-ปราบผีร้าย เพื่อเปิดโอกาสแก้ไขบ้านเมืองให้คืนสภาพโดยเร็ว พูดอีกที ก็เป็นที่รับทราบด้วยวิสัยวิญญูชนทั่วไปว่า

เมื่อถึงเวลาพร้อมก็ต้องแก้ไข หรือเดินเข้ากรอบเพื่อปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และบรรยากาศวิไล!

ถ้าจะว่าไปแล้ว ทักษิณ-ตัวใน หรือเพื่อไทยอันเป็นตัวกระดอง ก็ดัดจริต ยักกระสาย จะเอารัฐธรรมนูญปี ๔๐ ไปงั้นแหละ ใจจริงๆ แล้ว ถ้าอภิสิทธิ์บอกว่า "จะแก้รัฐธรรมนูญฉบับ ๕๐ โดยตัดมาตรา ๓๐๙ ทิ้งไป"

ทักษิณขี้เกียจจะคลานมากราบไข่อภิสิทธิ์ปลกๆ เสียด้วยซ้ำ!

ผมก็บอกแล้ว รัฐธรรมนูญ ๕๐ เจตนารมณ์ใช้เป็นยันต์ปิดปากหม้อ เอาวิญญาณชั่วร้ายถ่วงน้ำไว้ เขาไม่ได้ใจร้ายหวังเอาเป็น-เอาตาย แต่หวังเพียง "ถ่วงน้ำไว้ก่อน" เพื่อใช้เวลาว่างมาปรับปรุงบ้าน-ปรับปรุงเมือง เมื่อหมดเวร หมดกรรม ยันต์ก็จะหลุดไปเอง แล้วก็จะได้ไปผุดไปเกิดใหม่เหมือนแม่นาคพระโขนง

แต่หนังมันสะดุดหนามเตยก็ตรงที่ บรรดาผู้ขมังเวท คมช.ทั้งคณะรัฐ และคณะทหาร มันหน่อมแน้ม และห่วยแตกเอง ทำให้ยันต์ไม่ขลังเท่าที่ควร แถมมัดก็ไม่แน่น ปากหม้อเผยอเข้า-เผยอออก สัมภเวสีชั่วร้ายมันเลยโฟนอินได้รายวัน ไม่เชื่อลองไปถามกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กระทั่งหลวงพ่อ หลวงพี่ ครูเล็ก ครูใหญ่แถวในอีสานดู

มีใครบ้างที่สัมภเวสีไม่โฟนอินมาชวน "แดงทั้งแผ่นดิน" ทุกค่ำ-ทุกคืน?

แต่ถึงอย่างไร บ้านเมืองยังมีขื่อ-มีแป กฎหมายยังเป็นกฎหมาย ฉะนั้น รัฐธรรมนูญ ๕๐ ยังพอเป็นมนต์สะกดและมัดผีร้ายมิให้เหิมเกริม ออกอาละวาดตามอำเภอใจได้มากนัก

มาตรา ๓๐๙ เป็นยันต์ปิดกระหม่อมมารไว้ด้วยข้อความว่า:-

บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ครับ..เท่ากับว่า ทุกวันนี้ไม่เพียงใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ.๒๕๕๐ เท่านั้น หากแต่ยังใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว หรือรัฐธรรมนูญฉบับคณะปฏิวัติ ๑๙ ก.ย.๔๙ ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการอีกฉบับหนึ่ง

ทักษิณต้องดิ้นพราดๆ เหมือนถูกน้ำร้อน หรือถูกน้ำหน่อไม้ดองสาดหลังก็เพราะ "ยันต์สะกดผี" จากมาตรานี้แหละ ส่วนอีก ๓๐๘ มาตรานั่นน่ะ เรียกว่า...ไม่ครนาขี้เรื้อน!

ฉะนั้น สันดานจึงต้องแสดงออกมาเอง ด่าลูกน้องกลางตลาดโฉงเฉง หัวหน้าวิปฝ่ายค้านที่แสนจริงใจและแม่นในกฎหมายอย่าง "นายวิทยา บุรณศิริ" เลยกลายเป็นคนเสียหมาไปโดยปริยาย ถูกหาว่าไปเข้าค่ายกลฝ่ายรัฐบาล แก้ทำไม ๕ ประเด็น ๑๐ ประเด็น กูไม่ได้อะไร

เพราะหัวใจมันอยู่ในมาตรา ๓๐๙ ประเด็นเดียว!!!!

ในความเห็นของผม รัฐธรรมนูญนั้น มีขึ้นมาเพื่อเป็นกติการองรับ ความอยู่ดี-กินดี-ดำรงชีพดี-ด้วยสิทธิ-เสรีภาพทัดเทียมกันของประชาชนภายใต้กฎหมายบัญญัติ ไม่อยู่อย่างเหยียบหัวแม่ตีนซึ่งกันและกัน เรามองและประณามกันแต่ว่า กฎหมายไม่ดี กฎหมายเป็นอุปสรรค กฎหมายไม่เอื้ออำนวย

แต่ทำไมมนุษย์ในสังคม โดยเฉพาะ "สังคมการเมือง" ไม่ย้อนมองตัวเองบ้างว่า:-

กฎหมายที่ว่าไม่ดีนั้น เพราะปิดช่องไม่ให้เราเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่ายๆ ใช่มั้ย?

กฎหมายเป็นอุปสรรคการบริหารนั้น เพราะเราบริหารด้อยสำนึกจนอาจเป็นโทษต่อสังคมประเทศใช่มั้ย?

กฎหมายไม่เอื้ออำนวยนั้น เพราะเราบริหารแบบจะเอากฎหมายเป็นเครื่องมือโจรใช่มั้ย?

อย่ามองกฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร และการปกครองเสมอไป ต้องมองย้อนกลับด้วยว่า แล้วจิตเจตนา และการกระทำของเราแต่ละคน เป็นปัญหาและเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร และการปกครอง "เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ-ประชาชน" ด้วยหรือไม่?

กฎหมายรับใช้คน ฉะนั้น กฎหมายจะแก้เมื่อไหร่ แบบไหน อย่างไร ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยาก และต้องแก้ก่อน คือ แก้ใจในแต่ละคนให้ "สุจริต" เป็นที่ตั้งก่อน